


















ความรัก
ความรัก เป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกเกี่ยวกับ การชอบ การผูกพันทางจิตใจกับบางสิ่งบางอย่าง คำว่ารักมีความหมายในหลายแง่มุมซึ่งทั้งลึกซึ้งและกว้างขวาง ต่างคนต่างมีความรักต่อผู้อื่นแตกต่างกัน ดังนั้นจึงยากต่อการอธิบายและให้คำนิยามคำว่ารักแบบเฉพาะเจาะจง รักเป็นความสัมพันธ์ซึ่งไม่ได้อยู่ลอยๆ หากมีรักก็จะต้องมีผู้ซึ่งเป็นฝ่ายรักและอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ถูกรัก ความรักเป็นนามธรรมจึงไม่อาจมองเห็น, ไม่อาจจับต้อง ไม่อาจวัดปริมาณได้. โดยทั่วไปแล้ว ความเสียหายหรือการจากไปของสิ่งรักจะนำมาซึ่งความโศกเศร้าแก่ผู้รัก เนื่องจากผู้รักได้ให้คุณค่าแก่สิ่งนั้น อาจกล่าวได้ว่า ความโศกเศร้าจะมากหรือน้อยขึ้นกับคุณค่าที่ผู้รักกำหนดให้กับสิ่งที่ตนรักนั้น ความรักไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เพียงมนุษย์ สัตว์ต่างๆ
ก็แสดงปรากฏการณ์ทางความรักให้เห็น เช่น การปกป้องลูกนักปราชญ์ทั่วโลกพยายามหาความหมายที่แน่นอน หรือหานิยามของคำว่าความรัก แต่ไม่มีใครสามารถหาข้อสรุปได้ว่าความรักนั้นมีนิยามเช่นไร
เทวดาที่เกี่ยวข้องกับความรัก คือ กามเทพของศาสนาฮินดู และคิวปิดในตำนานความเชื่อของกรีก
สัญลักษณ์ที่หมายถึงความรัก คือ รูปหัวใจสีแดง, การชูมือออกมา แล้วกางเฉพาะนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วก้อย ซึ่งหมายถึง ฉันรักเธอ (I Love You) นอกจากนี้บางทีดอกกุหลาบก็หมายถึงความรักด้วย
วันแห่งความรัก (วันวาเลนไทน์) คือ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งมักจะมีการแสดงความรักโดยการให้ของขวัญหรือให้ดอกกุหลาบ โดยถือว่าดอกกุหลาบนั้นเป็นดอกไม้แห่งความรัก
รูปแบบของความรัก
ความรักต่อบุคคล:
ความรักต่อทายาท - รักที่พ่อแม่มีให้กับลูกผู้ซึ่งตนให้กำเนิด
ความรักต่อบุพการี - รักที่ลูกมีต่อพ่อแม่
ความรักต่อญาติพี่น้อง - รักที่มีระหว่างญาติพี่น้อง
ความรักต่อเพศตรงข้าม - รักที่อาจมีอารมณ์ และ/หรือ ความรู้สึกทางเพศมาเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ได้
ความรักต่อเพื่อน - รักที่มีระหว่างผองเพื่อน
ความรักต่อสถาบัน - รักที่ผู้รักมีต่อสถาบันที่ตนมีส่วนผูกพัน เช่น รักชาติบ้านเมือง, รักศาสนา, รักพระมหากษัตริย์, รักโรงเรียน, รักภาษาไทย ฯลฯ
ความรักต่อสิ่งต่างๆ - รักที่ผู้รักมีต่อสิ่งซึ่งตนเป็นเจ้าของหรือมีส่วนผูกพัน เช่น รักรถยนต์, รักหนังสือ, รักรถไฟ, รักเพลงคลาสสิก, รักฟุตบอล ฯลฯ
ความรักต่อตนเอง - รักที่ผู้รักมีต่อตนเอง
จากการแบ่งนี้ช่วยให้เราเห็นความแตกต่าง เช่น ความรักที่เรามีต่อพ่อแม่นั้นแตกต่างจากความรักที่เรามีต่อแฟน. ความรักต่อพ่อแม่ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ความรักจึงยากต่อการวัดหรือการเปรียบเทียบ
ความรักในมุมมองของวิทยาศาสตร์
ดูบทความหลักที่ ความรัก (วิทยาศาสตร์)
ความรัก คือ ความรู้สึกต้องการอยากอยู่ด้วยของสิ่งมีชีวิตทางเคมี
การศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทวิทยา ได้แสดงหลักฐานให้เห็นว่า เวลาที่คนเรามีความรู้สึกรักใคร่นั้น จะมีสารเคมีบางตัวในสมองเช่น เทสทอสเตอโรน( Testosterone) , เอสโทเจน (Estrogen),โดฟามีน ( Dopamine ) สารเคมีต่าง ๆ เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นและคงอยู่ไม่กี่สัปดาห์หรือเพียงไม่กี่เดือน ทางจิตวิทยา
ดูเพิ่มที่ เครื่องพันธนาการของมนุษย์
รักแท้ - ความรักที่มีแต่การให้โดยไม่ต้องการสิ่งใดๆ ตอบแทน
ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่า "รักแท้" นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หรือ เป็นเพียงแต่ช่วงอารมณ์ของคนๆ หนึ่งเท่านั้น
ความรักในมุมมองของศาสนา
ศาสนาพุทธ
ความรักคือความทุกข์ รักน้อยทุกข์น้อย รักมากทุกข์มาก ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย ที่ใดมีรักที่นั้นมีชีวิต
หากแต่คำกล่าวนี้ แท้จริงไม่ได้สื่อความว่าไม่ให้คนเรารักกัน แต่ความรักที่ให้แก่กันจะต้องเป็นความรักที่มอบให้อย่างบริสุทธิ์ใจอย่างมีเมตตา
ไม่คิดยึดติดในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียงหรือความรู้สึกต่อความรักนั้นๆ การแผ่เมตตาก็ถือเป็นความรักรูปแบบหนึ่ง
ศาสนาพุทธแบ่งความรัก (ปียัง) เป็น 4 อย่าง คือ
ราคะ ความรักที่เกิดจากความต้องการทางเพศ
สิเนหา ความรักที่เกิดจากสัญชาติญาณ
เปมัง ความรักที่เกิดจากความผูกพัน ช่วยเหลือกันมา
เมตตา ความรักที่เกิดจากการฝึกให้คุณธรรมเกิดมีขึ้นใจจิตใจ
ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์ถือว่าความรักคือสิ่งสูงสุด คือทุกสิ่ง คือพระลักษณะของพระเจ้า คือพระเจ้า พระเจ้าคือความรัก ความรักของพระองค์ไม่มีที่สิ้นสุด
ความรักย่อมอดทนนาน และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว
ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว
ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในการประพฤติผิด
แต่ชื่นชมยินดีในความประพฤติชอบ
ความรักให้ทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ
และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสิ้นสุด
เปรียบเสมือนความรักที่พระเยซูมีต่อเรา โดยลงมาตายบนไม้กางเขน ที่หาค่าไม่ได้ และไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่ปรารถนาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับคืนดีกับเราอีก
นอกจากนี้ ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ไม่มีรักใดจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีก คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตนและตน
เหตุฉะนั้นจึงตั้งอยู่ 3 สิ่ง ความเชื่อ ความหวังใจและความรัก แต่ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด
นอกจากนั้นพระคัมภีร์ยังเตือนว่าการมีทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็ดี แต่ถ้าหากปราศจากความรักแล้วจะมีคุณค่าก็หามิได้เลย
แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะบริจาคสิ่งของของข้าพเจ้าทุกอย่างหรือยอมให้เอาตัวไป เผาไฟ(สำเนาโบราณบางฉบับว่า เอาตัวไปเพื่อข้าพเจ้าจะอวดได้) แต่ไม่มีความรัก ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับข้าพเจ้า ...
ความรักไม่มีวันเสื่อมสูญ แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสลายไป แม้การพูดภาษาแปลกๆก็จะเลิกพูดกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสลายไป...
พระองค์เอง ยังทรงย้ำอีกว่า คนที่เป็นสาวกของพระองค์ต้องมีความรัก หากไม่มีความรัก ไม่ใช่สาวกของพระองค์
เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา
ความรักในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ไม่ใช่การตามใจ แต่คือ การเตือนสติกันด้วยความรักด้วย เพื่อมุ่งปรารถนาให้คนๆนั้นกลับตัวกลับใจเสียใหม่ในเรื่องที่ทำผิด
เรารักผู้ใดเราก็ตักเตือนและตีสอนผู้นั้น เหตุฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และกลับใจเสียใหม่
นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา
รักบริสุทธิ์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
รักบริสุทธิ์ หรือ เพลโตนิคเลิฟ (Platonic love) เป็นคำนิยามของความสัมพันธ์ ที่ไม่มีเรื่องทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง คำว่าเพลโตนิคเลิฟ มาจากคำว่า อามอร์ เพลโตนิคัส (amor platonicus) ที่หมายถึง ความรักของเพลโต โดยมีความหมายเหมือนคำว่า อามอร์ โซเครติคัส (amor socraticus) ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง โซเครติส (Socrates) กับลูกศิษย์ โดยกล่าวถึงความรักที่ไม่มีเรื่องทางเพศมาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ทั้งบุคคลที่อายุต่างกัน และบุคคลที่เพศต่างกัน หรือเพศเดียวกัน
คำภาษาไทยมาจากคำประสมระหว่าง คำว่า รัก และ บริสุทธิ์ หมายถึง รักที่มาจากความบริสุทธิ์ใจ
โดยคำศัพท์ภาษาอังกฤษ คำว่าพลาโตนิคเลิฟ กล่าวโดย เซอร์วิลเลี่ยม เดวีแนนท์ (Sir William Davenant) ในปี พ.ศ. 2179(ค.ศ. 1636) เกี่ยวกับทฤษฎีของความรักตามคำกล่าวของเพลโต โดยความรักตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง และความซื่อสัตย์
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของความรักบริสุทธิ์ ได้แก่ ความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก หรือความรักระหว่างเพื่อนฝูง โดยสังเกตได้ว่าความรักบริสุทธิ์ นั้นจะไม่มีความเห็นแก่ตัว หรือความหึงหวง เข้ามาเกี่ยวข้อง
รักสามเส้า
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
บทความนี้เกี่ยวกับศัพท์ทางจิตวิทยา สำหรับภาพยนตร์โดยยุทธเลิศ สิปปภาค ดูที่ รัก/สาม/เศร้า
รักสามเส้า หมายถึงความสัมพันธ์ที่โรแมนติกที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลสามคน เกิดขึ้นจากการมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องระหว่างความสัมพันธ์ของคนสองคน โดยทั่วไป มีความหมายโดยนัยเกี่ยวกับความไม่สมหวังของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง อาจมีเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง ในสังคมของสามีภรรยาเดียว ความรักสามเส้ามักจะเกิดขึ้นและจบลงด้วยเร็ว เนื่องจากมีกฎหมายและประเพณีเป็นข้อกำหนดสำหรับความรักของบุคคลที่สาม
รักสามเส้า นิยมใช้กันมากในโครงเรื่อง ของภาพยนตร์ นิยาย ละคร การ์ตูน หรือ ตามเนื้อเพลงต่างๆ
ตัวอย่างของกรณีรักสามเส้า คือ นายเอรักนางสาวบี แต่นางสาวบีได้ตกหลุมรักนายซี ทำให้นายเอไม่สามารถทำให้ความรักของตนสมหวังได้ เพราะไม่ได้รักคนที่มามีใจรักในตนเองได้
อกหัก คือวลีทั่วๆไปที่ใช้อธิบายความเจ็บปวดทางอารมณ์อย่างรุนแรง หรือความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากการตาย, การหย่าร้าง, การโยกย้ายที่อยู่, ถูกปฏิเสธ ฯลฯ คำๆนี้เป็นคำที่มีใช้มาแต่โบราณและถูกใช้อย่างกว้างขวาง อย่างน้อยก็มีการกล่าวถึงในวรรณคดีเรื่องรามายณะของอินเดีย ซึ่งถูกแต่งในช่วง พ.ศ. 300 -743
โดยทั่วไปแล้ว อกหักมักจะเกี่ยวข้องกับการสูญเสียคู่สมรส หรือ คนที่รัก การสูญเสียผู้ให้กำเนิด, ลูก, สัตว์เลี้ยง หรือ เพื่อนสนิท ก็อาจเรียกได้ว่าอกหักเช่นกัน วลีนี้เกี่ยวข้องถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกจากการสูญเสีย และโดยทั่วไป วลีนี้ก็มักจะใช้ในสภาพอาการนี้ ซึ่งถูกเรียกว่า Broken Heart Syndrome (หรือ Takotsubo cardiomyopathy) อันมีสาเหตุมาจากการที่สมองหลั่งสารเคมีออกมาเพื่อทำให้เนื้อเยื่อหัวใจอ่อนแอลง
มุมมองในเชิงปรัชญา
คนหลายๆคนไม่รู้ตัวถึงอาการอกหักในทันที แต่ใช้เวลาระยะหนึ่งในการรับรู้ถึงความเจ็บปวดทั้งทางอารมณ์และกายภาพอย่างสมบูรณ์ดั่งที่ Jeffrey Moussaieff Masson กล่าวเอาไว้ว่า:
มนุษย์หาได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ตนมีตลอดเวลา เช่นเดียวกับเดรฉานที่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกของมันออกมาเป็นคำพูดได้ นี่มิได้หมายความว่าพวกมันไม่มีความรู้สึก ซิกมุนด์ ฟรอยด์เคยกล่าวเอาไว้ว่า ผู้ชายอาจจะตกหลุมรักผู้หญิงสักคนหนึ่งได้ถึงเวลา 6 ปี โดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งหลายอีกปีผ่านไป ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อโลก เขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่เขาไม่รู้ออกมาเป็นคำพูดได้ เขามีความรู้สึกแต่เขาไม่รู้จักมัน อาจจะดูเหมือนเป็นการขัดแย้งในตัวเองเพราะเราคิดถึงสิ่งที่เรารู้สึก คิดถึงบางสิ่งที่เรารับรู้อย่างมีสติ ดั่งที่ฟรอยด์กล่าวเอาไว้ในบทความ The Unconscious (จิตไร้สำนึก) "เป็นที่แน่นอนที่สุดว่าแก่นแท้ของอารมณ์ที่เราควรจะตระหนักถึง แต่ก็อีกนั่นแหละ มันยิ่งกว่าคำถามที่ว่าเราสามารถ "มี" ความรู้สึกที่เราไม่รู้
ในมุมมองของพุทธศาสนา
ตามแนวคิดของพุทธศาสนานั้น การพลัดพรากจากบุคลที่รักนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของโลก อันมีผลมาจากผลกรรม ดังที่กล่าวเอาไว้ในพระไตรปิฎกดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนือง ๆว่าเราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความพอใจ ความรักใคร่ในของรักมีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนือง ๆ ย่อมละความพอใจ ความรักใคร่นั้นได้โดยสิ้นเชิงหรือทำให้เบาบางลงได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าเราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น.
ในวรรณกรรมคลาสสิก
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้
อาการ
อาการอกหักสามารถปรากฏได้โดยความเจ็บปวดทางจิต แต่ก็มีหลายๆผลกระทบที่ส่งผลเชิงกายภาพ ประสบการณ์อกหักนี้มักจะถูกคำนึงถึงในลักษณะที่อธิบายไม่ได้ รายการต่อไปนี้เป็นรายการของอาการโดยทั่วไปที่อาจเกิดขึ้น[ต้องการอ้างอิง]
ปวดแน่นหน้าอก ซึ่งคล้ายคลึงกับ Panic attack
ปวดท้อง และ/หรือ ไม่อยากอาหาร
นอนไม่หลับ
โกรธ
ตกใจ
ระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
เซื่องซึม
รู้สึกเหงา
สูญเสียความหวัง และแรงขับเคลื่อน
สูญเสียความเคารพและความเชื่อมั่นในตนเอง
ความเจ็บป่วยทางการแพทย์และจิตวิทยา
มีความต้องการฆ่าตัวตาย
เคลื่อนไส้อาเจียน
เหนื่อยล้า
Thousand-yard stare
ร้องไห้ถี่ๆ หรือต่อเนื่อง
รู้สึกอ้างว้าง
ร้ายแรงที่สุดคือ ตรอมใจตาย
ทุกขัง
ทุกข์ หรือ ทุกขัง (บาลี: ทุกฺขํ) เป็นหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา แปลว่าทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก โดยทั่วไปหมายถึง สังขารธรรม อันได้แก่ ขันธ์ 5 คือสังขารทั้งปวงล้วนเป็นที่ตั้งของกองทุกข์
ทุกข์ในทางพระพุทธศาสนา ถือเป็นกิจในอริยสัจ 4 ที่ชาวพุทธต้องกำหนดรู้เพื่อละและปล่อยวางในลำดับต่อไปในกิจทั้งสี่ในอริยสัจ อันได้แก่ รู้ทุกข์ เพื่อค้นหาสาเหตุในการดับทุกข์ (สมุทัย) แล้วจึงตั้งจุดมุ่งหมายในการดับทุกข์ (นิโรธ) และดำเนินตามเส้นทางสู่ความดับทุกข์ (มรรค) คือสละ ละ ปล่อยวาง ไม่ยึดติดในใจด้วยอำนาจกิเลส
ทุกข์ จัดเป็นหนึ่งในชื่อเรียกที่เป็นคำไวพจน์ของขันธ์ซึ่งถูกใช้เป็นอย่างมากในพระไตรปิฎก จะมาคู่กับคำไวพจน์ของขันธ์อีก 2 คำ คือ อนิจจัง กับ อนัตตา นั่นเอง
เนื้อหา
1 ความหมาย
2 ความแตกต่างของความหมายในภาษาไทย
3 ความแตกต่างของทุกข์ และทุกขลักษณะ
4 ดูเพิ่ม
5 อ้างอิง
ความหมาย
ทุกข์เป็นความจริงอันประเสริฐข้อที่ 1 ในอริยสัจจ์ 4 ทุกขอริยสัจจ์ ซึ่งพระพุทธองค์ได้อธิบายไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรดังนี้ ชาติ หมายถึง ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลงเกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
ชรา หมายถึง ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังย่นเป็นเกลียว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
มรณะ หมายถึง ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความแตกทำลาย ความหายไป มฤตยู ความตาย ความทำกาละ ความทำลายแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพไว้ ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
โสกะ หมายถึง ความแห้งใจ กิริยาที่แห้งใจ ภาวะแห่งบุคคลผู้แห้งใจ ความผาก ณ ภายใน ความแห้งผาก ณ ภายใน ของบุคคลผู้ประกอบด้วย ความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือ ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว
ปริเทวะ หมายถึง ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ กิริยาที่ร่ำไรรำพัน ภาวะของบุคคลผู้คร่ำครวญ ภาวะของบุคคลผู้ร่ำไรรำพัน ของบุคคลผู้ประกอบด้วย ความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว
ทุกข์ (กาย) หมายถึง ความลำบากทางกาย ความไม่สำราญทางกาย ความเสวยอารมณ์ อันไม่ดีที่เป็นทุกข์เกิดแต่ กายสัมผัส
โทมนัส หมายถึง ความทุกข์ทางจิต ความไม่สำราญทางจิต ความเสวยอารมณ์อันไม่ด ีที่เป็นทุกข์เกิดแต่ มโนสัมผัส (สัมผัสทางใจ นึกคิดขึ้นมา)
อุปายาส หมายถึง ความแค้น ความคับแค้น ภาวะของบุคคลผู้แค้น ภาวะของบุคคลผู้คับแค้น ของบุคคล ผู้ประกอบด้วยความพิบัติ อย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือ ทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว
ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก หมายถึง ความประสบ ความพรั่งพร้อม ความร่วม ความระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ความรู้สึกทางกาย) อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ หรือด้วย บุคคลผู้ปรารถนาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่ไม่เกื้อกูล ปรารถนาความไม่ผาสุก ปรารถนาความไม่เกษมจากโยคะ (กิเลส) ซึ่งมีแก่ผู้นั้น
ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หมายถึง ความไม่ประสบ ความไม่พรั่งพร้อม ความไม่ร่วม ความไม่ระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือด้วยบุคคลผู้ปรารถนาประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่เกื้อกูล ปรารถนาความผาสุก ปรารถนาความเกษม จากโยคะ คือ มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่หญิง น้องหญิง มิตร อมาตย์ หรือ ญาติสาโลหิต ซึ่งมีแก่ผู้นั้น
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น หมายถึง ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่ สัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา สัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา สัตว์ผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดา สัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดา สัตว์ผู้มี โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราไม่พึงมีความเกิดเป็นธรรมดา ขอความเกิดอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความแก่เป็นธรรมดา ขอความแก่อย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความเจ็บเป็นธรรมดา ขอความเจ็บอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความตายเป็นธรรมดา ขอความตายอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมี โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส เป็นธรรมดา ขอโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส อย่ามีมาถึงเราเลย สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
สรุปว่าอุปาทานขันธ์ 5 ทั้งหมดนั่นเองที่เป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัยที่สุด.
ปกติแล้วเรามักเห็นว่า บางครั้งท่านใช้ความหมายของทุกข์ควบคู่ไปกับทุกขเวทนา, จนทำให้เข้าใจกันว่า ทุกข์หมายถึงความทุกข์เจ็บปวด เป็นต้น แต่หากพิจารณาตามข้อความที่ยกมานี้ จะพบว่า ใน 11 ข้อนี้ มีถึง 6 ข้อ (เกินครึ่ง) ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงทุกขเวทนาเท่านั้น แต่หมายถึงขันธ์ทั้งหมด. 6 ข้อนี้ ได้แก่ ชาติ, ชรา, มรณะ, ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก, ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก,ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น.
เมื่อว่ากันทั่วไปตามโวหารโลกตามหลักวิชาการทางพระพุทธศาสนาแล้ว ในขณะที่เกิด (ปฏิสนธิขณะ) และขณะที่ตาย (จุติขณะ) ของสรรพสัตว์นั้น ไม่ว่าจะเกิดและตายอย่างพิศดารผาดโผนโจนทะยานเท่าใดก็ตาม แต่ชั่วเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่จะเกิดและตายนั้น จะไม่มีใครเกิด และตายอย่างมีทุกขเวทนา, และเมื่อว่าโดยปรมัตถ์ให้ละเอียดลงไป การเกิดขึ้น (อุปาทานุขณะ) ความแก่ (ฐิตานุขณะ) และความตาย (ภังคานุขณะ) ของขันธ์ ก็ไม่ได้มีกับทุกขเวทนาเท่านั้นด้วย แต่มีกับขันธ์ 5 แทบทั้งหมด. ส่วนความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก, ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก,ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั้นเมื่อว่าโดยตรงแล้วตัณหาจะไม่มีทุกขเทนาเด็ดขาด. และความประจวบ ความพลัดพรากนั้น ก็มีกับขันธ์ทั้งหมด. ส่วนความปรารถนาแล้วไม่ได้นั้นเมื่อว่าโดยตรงแล้ว ก็ไม่เกิดกับทุกขเวทนาเช่นกัน และเมื่อกล่าวโดยรวมแล้วก็ยังจัดได้ว่ามีกับขันธ์ 5 ทั้งหมดด้วยเช่นกัน.
ฉะนั้นทุกข์จึงไม่ใช่แต่เพียงทุกขเวทนาเท่านั้น แต่หมายถึงขันธ์ 5 ทั้งหมด ดังนั้นในพระสูตรทั่วไป เช่น จูฬเวทัทลสูตร เป็นต้น รวมถึงอรรถกถาต่างๆ เช่น อรรถกถาสติปัฏฐานสูตร เป็นต้น ท่านจึงได้อธิบายให้สุขเวทนาและอุเบกขาเวทนาว่าเป็นทุกข์ด้วย เพราะเป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปและเป็นสังขารธรรมเป็นต้นนั่นเอง.
นอกจากนี้ยังอาจแบ่งทุกข์ในอริยสัจ 4 ได้เป็น 2 กลุ่มคือ
สภาวทุกข์ คือทุกข์ประจำ ทุกข์ที่มีอยู่ด้วยกันทุกคน ไม่มียกเว้น ได้แก่ความเกิด ความแก่ ความตาย
ปกิณณกทุกข์ คือทุกข์จร ทุกข์ที่จรมาเป็นครั้งคราว ได้แก่ ความเศร้าโศก ความพร่ำเพ้อรำพัน ความไม่สบายใจ ความน้อยใจ ความคับแค้นใจ ความประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบ ความพลัดพรากจากสิ่งที่ชอบ ความผิดหวังไม่ได้ตามที่ต้องการ
ความแตกต่างของความหมายในภาษาไทย
บทความนี้ควรปรับปรุงภาษาหรือรูปแบบการเขียน อาจเพราะมีข้อความในภาษาอื่น หรือแปลไม่สมบูรณ์ (ดูเพิ่ม) ใช้ภาษาหรือการเขียนไม่ถูกต้องตามหลักภาษา คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ โดยการปรับปรุงภาษา การเขียน การสะกด และแก้ไขรูปแบบให้เป็นสารานุกรม
ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา มีศัพท์ที่เกี่ยวกับทุกข์อย่างน้อย 4 ศัพท์ ซึ่งใช้ทั่วไปในคัมภีร์ และมักจะถูกเข้าใจสับสนอยู่เสมอด้วย, 4 ศัพท์นี้ ได้แก่ ทุกฺขํ ทุกฺขเวทนา ทุกฺขตา และ ทุกฺขลกฺขณํ. ซึ่งเขียนในรูปแบบภาษาไทยได้ว่า ทุกข์ (ขันธ์ 5), ทุกขเวทนา (ความรู้สึกทุกข์), ทุกขตา (ทุกขลักษณะ), และทุกขลักษณะ (ทุกขตา) จึงขอให้คำจำกัดความไว้ดังนี้ :-
ทุกฺขํ หมายถึง ขันธ์ 5.
ทุกฺขเวทนา หมายถึง เวทนาขันธ์ ซึ่งเป็นเพียง 1 ในขันธ์ที่มีอยู่ทั้งสิ้น 5 ประการ.
ทุกฺขตา หมายถึง อาการที่ทนดำรงอยู่ไม่ได้เลยเป็นต้นของขันธ์ 5 (เป็นคำไวพจน์ของทุกขลักษณะนั่นเอง).
ทุกฺขลกฺขณํ หมายถึง อาการที่หมดสิ้นไปเป็นต้นของขันธ์ 5 (เป็นคำไวพจน์ของทุกขตานั่นเอง).
บรรดา 4 คำนี้ คำว่า ทุกข์ (ทุกฺขํ) มีใช้มากที่สุด และยังถูกเข้าใจผิดมากที่สุดอีกด้วย เพราะมักใช้แทนคำว่า ทุกขเวทนา กันตามความหมายในภาษาไทย และบางครั้งก็ยังแผลงศัพท์ไปใช้แทนคำว่าทุกขตาและคำว่าทุกขลักษณะอีกด้วย เช่น เขียนว่า ทุกขตา (ทุกข์) เป็นต้น ซึ่งที่จริงแล้ว ใช้แทนกันไม่ได้ เพราะทุกขตาหมายถึงทุกขลักษณะ แต่ทุกข์หมายถึงขันธ์ 5 ที่มีทุกขลักษณะนั้น.
ความแตกต่างของทุกข์ และทุกขลักษณะ
ทุกข์ กับ ทุกขลักษณะ เป็นคนละอย่างกัน เพราะเป็น ลักขณวันตะ และ ลักขณะ ของกันและกัน ดังนี้
ทุกข์ (ทุกฺขํ) - หมายถึง ขันธ์ 5 ทั้งหมด เป็นปรมัตถ์ เป็นสภาวะธรรม มีอยู่จริง, คำว่า"ทุกข์"เป็นคำไวพจน์ชื่อหนึ่งของขันธ์ 5.
ทุกขลักษณะ (ทุกฺขตา,ทุกฺขลกฺขณํ) - หมายถึง เครื่องกำหนดขันธ์ 5 ทั้งหมดซึ่งเป็นตัวทุกข์. ทุกขลักษณะเป็นบัญญัติ ไม่ใช่สภาวะธรรม ไม่มีอยู่จริง ดังที่ท่านกล่าวไว้ในอัฏฐสาลินีว่า "วุฏฺฐานคามินี ปน วิปสฺสนา กิมารมฺมณาติ ลกฺขณารมฺมณาติ. ลกฺขณํ นาม ปญฺญตฺติคติกํ น วตฺตพฺพธมฺมภูตํ.-ก็วุฏฐานคามินีวิปัสสนามีอะไรเล่าเป็นอารมณ์ ตอบว่า มีลักษณะเป็นอารมณ์ ชื่อว่า ลักษณะมีคติเป็นบัญญัตติ เป็นนวัตตัพพธรรม ทุกขลักษณะทำให้เราทราบได้ว่าขันธ์ 5 เป็นทุกข์ บีบคั้น น่ากลัวมาก ซึ่งได้แก่ อาการความบีบคั้นบังคับให้เปลี่ยนแปลงไปอยู่เป็นเนืองนิจของขันธ์ 5 เช่น อาการที่ขันธ์ 5 บีบบังคับตนจากที่เคยเกิดขึ้น ก็ต้องเสื่อมสิ้นไปเป็นขันธ์ 5 อันใหม่, อาการที่ขันธ์ 5 จากที่เคยมีขึ้น ก็ต้องกลับไปเป็นไม่มีอีกครั้ง เป็นต้น.
ในวิสุทธิมรรค ท่านได้ยกทุกขลักษณะจากปฏิสัมภิทามรรคมาแสดงไว้ถึง 10 แบบ เรียกว่า โต 10 และในพระไตรปิฎกยังมีการแสดงทุกขลักษณะไว้ในแบบอื่นๆอีกมากมาย. แต่คัมภีร์ที่รวบรวมไว้เป็นเบื้องต้นเหมาะสำหรับเป็นคู่มือสำหรับปฏิบัติธรรมได้แก่ คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค เพราะสามารถจะจำคำที่คนโบราณใช้กำหนดกันจากคัมภีร์นี้แล้วนำไปใช้ได้ทันที ดังที่ท่านแสดงไว้เป็นต้นว่า "จกฺขุ อหุตฺวา สมฺภูตํ หุตฺวา น ภวิสฺสตีติ ววตฺเถติ - นักปฏิบัติธรรมย่อมกำหนดว่า "จักขุปสาทที่ยังไม่เกิดก็เกิดมีขึ้น พอมีขึ้นแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก"เป็นต้น (ให้เพ่งเล็งถึงลักษณะที่บีบบังคับตัวเองให้ต้องเปลี่ยนไป ก็จะกลายเป็นการกำหนดทุกขลักษณะ).
วิธีบอกรักเทวดาที่เกี่ยวข้องกับความรัก คือ กามเทพของศาสนาฮินดู และคิวปิดในตำนานความเชื่อของกรีก
สัญลักษณ์ที่หมายถึงความรัก คือ รูปหัวใจสีแดง, การชูมือออกมา แล้วกางเฉพาะนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วก้อย ซึ่งหมายถึง ฉันรักเธอ (I Love You) นอกจากนี้บางทีดอกกุหลาบก็หมายถึงความรักด้วย
วันแห่งความรัก (วันวาเลนไทน์) คือ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งมักจะมีการแสดงความรักโดยการให้ของขวัญหรือให้ดอกกุหลาบ โดยถือว่าดอกกุหลาบนั้นเป็นดอกไม้แห่งความรัก
รูปแบบของความรัก
ความรักต่อบุคคล:
ความรักต่อทายาท - รักที่พ่อแม่มีให้กับลูกผู้ซึ่งตนให้กำเนิด
ความรักต่อบุพการี - รักที่ลูกมีต่อพ่อแม่
ความรักต่อญาติพี่น้อง - รักที่มีระหว่างญาติพี่น้อง
ความรักต่อเพศตรงข้าม - รักที่อาจมีอารมณ์ และ/หรือ ความรู้สึกทางเพศมาเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ได้
ความรักต่อเพื่อน - รักที่มีระหว่างผองเพื่อน
ความรักต่อสถาบัน - รักที่ผู้รักมีต่อสถาบันที่ตนมีส่วนผูกพัน เช่น รักชาติบ้านเมือง, รักศาสนา, รักพระมหากษัตริย์, รักโรงเรียน, รักภาษาไทย ฯลฯ
ความรักต่อสิ่งต่างๆ - รักที่ผู้รักมีต่อสิ่งซึ่งตนเป็นเจ้าของหรือมีส่วนผูกพัน เช่น รักรถยนต์, รักหนังสือ, รักรถไฟ, รักเพลงคลาสสิก, รักฟุตบอล ฯลฯ
ความรักต่อตนเอง - รักที่ผู้รักมีต่อตนเอง
จากการแบ่งนี้ช่วยให้เราเห็นความแตกต่าง เช่น ความรักที่เรามีต่อพ่อแม่นั้นแตกต่างจากความรักที่เรามีต่อแฟน. ความรักต่อพ่อแม่ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ความรักจึงยากต่อการวัดหรือการเปรียบเทียบ
ความรักในมุมมองของวิทยาศาสตร์
ดูบทความหลักที่ ความรัก (วิทยาศาสตร์)
ความรัก คือ ความรู้สึกต้องการอยากอยู่ด้วยของสิ่งมีชีวิตทางเคมี
การศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทวิทยา ได้แสดงหลักฐานให้เห็นว่า เวลาที่คนเรามีความรู้สึกรักใคร่นั้น จะมีสารเคมีบางตัวในสมองเช่น เทสทอสเตอโรน( Testosterone) , เอสโทเจน (Estrogen),โดฟามีน ( Dopamine ) สารเคมีต่าง ๆ เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นและคงอยู่ไม่กี่สัปดาห์หรือเพียงไม่กี่เดือน ทางจิตวิทยา
ดูเพิ่มที่ เครื่องพันธนาการของมนุษย์
รักแท้ - ความรักที่มีแต่การให้โดยไม่ต้องการสิ่งใดๆ ตอบแทน
ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่า "รักแท้" นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หรือ เป็นเพียงแต่ช่วงอารมณ์ของคนๆ หนึ่งเท่านั้น
ความรักในมุมมองของศาสนา
ศาสนาพุทธ
ความรักคือความทุกข์ รักน้อยทุกข์น้อย รักมากทุกข์มาก ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย ที่ใดมีรักที่นั้นมีชีวิต
หากแต่คำกล่าวนี้ แท้จริงไม่ได้สื่อความว่าไม่ให้คนเรารักกัน แต่ความรักที่ให้แก่กันจะต้องเป็นความรักที่มอบให้อย่างบริสุทธิ์ใจอย่างมีเมตตา
ไม่คิดยึดติดในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียงหรือความรู้สึกต่อความรักนั้นๆ การแผ่เมตตาก็ถือเป็นความรักรูปแบบหนึ่ง
ศาสนาพุทธแบ่งความรัก (ปียัง) เป็น 4 อย่าง คือ
ราคะ ความรักที่เกิดจากความต้องการทางเพศ
สิเนหา ความรักที่เกิดจากสัญชาติญาณ
เปมัง ความรักที่เกิดจากความผูกพัน ช่วยเหลือกันมา
เมตตา ความรักที่เกิดจากการฝึกให้คุณธรรมเกิดมีขึ้นใจจิตใจ
ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์ถือว่าความรักคือสิ่งสูงสุด คือทุกสิ่ง คือพระลักษณะของพระเจ้า คือพระเจ้า พระเจ้าคือความรัก ความรักของพระองค์ไม่มีที่สิ้นสุด
ความรักย่อมอดทนนาน และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว
ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว
ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในการประพฤติผิด
แต่ชื่นชมยินดีในความประพฤติชอบ
ความรักให้ทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ
และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสิ้นสุด
เปรียบเสมือนความรักที่พระเยซูมีต่อเรา โดยลงมาตายบนไม้กางเขน ที่หาค่าไม่ได้ และไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่ปรารถนาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับคืนดีกับเราอีก
นอกจากนี้ ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ไม่มีรักใดจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีก คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตนและตน
เหตุฉะนั้นจึงตั้งอยู่ 3 สิ่ง ความเชื่อ ความหวังใจและความรัก แต่ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด
นอกจากนั้นพระคัมภีร์ยังเตือนว่าการมีทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็ดี แต่ถ้าหากปราศจากความรักแล้วจะมีคุณค่าก็หามิได้เลย
แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะบริจาคสิ่งของของข้าพเจ้าทุกอย่างหรือยอมให้เอาตัวไป เผาไฟ(สำเนาโบราณบางฉบับว่า เอาตัวไปเพื่อข้าพเจ้าจะอวดได้) แต่ไม่มีความรัก ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับข้าพเจ้า ...
ความรักไม่มีวันเสื่อมสูญ แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสลายไป แม้การพูดภาษาแปลกๆก็จะเลิกพูดกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสลายไป...
พระองค์เอง ยังทรงย้ำอีกว่า คนที่เป็นสาวกของพระองค์ต้องมีความรัก หากไม่มีความรัก ไม่ใช่สาวกของพระองค์
เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา
ความรักในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ไม่ใช่การตามใจ แต่คือ การเตือนสติกันด้วยความรักด้วย เพื่อมุ่งปรารถนาให้คนๆนั้นกลับตัวกลับใจเสียใหม่ในเรื่องที่ทำผิด
เรารักผู้ใดเราก็ตักเตือนและตีสอนผู้นั้น เหตุฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และกลับใจเสียใหม่
นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา
รักบริสุทธิ์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
รักบริสุทธิ์ หรือ เพลโตนิคเลิฟ (Platonic love) เป็นคำนิยามของความสัมพันธ์ ที่ไม่มีเรื่องทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง คำว่าเพลโตนิคเลิฟ มาจากคำว่า อามอร์ เพลโตนิคัส (amor platonicus) ที่หมายถึง ความรักของเพลโต โดยมีความหมายเหมือนคำว่า อามอร์ โซเครติคัส (amor socraticus) ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง โซเครติส (Socrates) กับลูกศิษย์ โดยกล่าวถึงความรักที่ไม่มีเรื่องทางเพศมาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ทั้งบุคคลที่อายุต่างกัน และบุคคลที่เพศต่างกัน หรือเพศเดียวกัน
คำภาษาไทยมาจากคำประสมระหว่าง คำว่า รัก และ บริสุทธิ์ หมายถึง รักที่มาจากความบริสุทธิ์ใจ
โดยคำศัพท์ภาษาอังกฤษ คำว่าพลาโตนิคเลิฟ กล่าวโดย เซอร์วิลเลี่ยม เดวีแนนท์ (Sir William Davenant) ในปี พ.ศ. 2179(ค.ศ. 1636) เกี่ยวกับทฤษฎีของความรักตามคำกล่าวของเพลโต โดยความรักตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง และความซื่อสัตย์
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของความรักบริสุทธิ์ ได้แก่ ความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก หรือความรักระหว่างเพื่อนฝูง โดยสังเกตได้ว่าความรักบริสุทธิ์ นั้นจะไม่มีความเห็นแก่ตัว หรือความหึงหวง เข้ามาเกี่ยวข้อง
รักสามเส้า
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
บทความนี้เกี่ยวกับศัพท์ทางจิตวิทยา สำหรับภาพยนตร์โดยยุทธเลิศ สิปปภาค ดูที่ รัก/สาม/เศร้า
รักสามเส้า หมายถึงความสัมพันธ์ที่โรแมนติกที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลสามคน เกิดขึ้นจากการมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องระหว่างความสัมพันธ์ของคนสองคน โดยทั่วไป มีความหมายโดยนัยเกี่ยวกับความไม่สมหวังของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง อาจมีเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง ในสังคมของสามีภรรยาเดียว ความรักสามเส้ามักจะเกิดขึ้นและจบลงด้วยเร็ว เนื่องจากมีกฎหมายและประเพณีเป็นข้อกำหนดสำหรับความรักของบุคคลที่สาม
รักสามเส้า นิยมใช้กันมากในโครงเรื่อง ของภาพยนตร์ นิยาย ละคร การ์ตูน หรือ ตามเนื้อเพลงต่างๆ
ตัวอย่างของกรณีรักสามเส้า คือ นายเอรักนางสาวบี แต่นางสาวบีได้ตกหลุมรักนายซี ทำให้นายเอไม่สามารถทำให้ความรักของตนสมหวังได้ เพราะไม่ได้รักคนที่มามีใจรักในตนเองได้
อกหัก คือวลีทั่วๆไปที่ใช้อธิบายความเจ็บปวดทางอารมณ์อย่างรุนแรง หรือความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากการตาย, การหย่าร้าง, การโยกย้ายที่อยู่, ถูกปฏิเสธ ฯลฯ คำๆนี้เป็นคำที่มีใช้มาแต่โบราณและถูกใช้อย่างกว้างขวาง อย่างน้อยก็มีการกล่าวถึงในวรรณคดีเรื่องรามายณะของอินเดีย ซึ่งถูกแต่งในช่วง พ.ศ. 300 -743
โดยทั่วไปแล้ว อกหักมักจะเกี่ยวข้องกับการสูญเสียคู่สมรส หรือ คนที่รัก การสูญเสียผู้ให้กำเนิด, ลูก, สัตว์เลี้ยง หรือ เพื่อนสนิท ก็อาจเรียกได้ว่าอกหักเช่นกัน วลีนี้เกี่ยวข้องถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกจากการสูญเสีย และโดยทั่วไป วลีนี้ก็มักจะใช้ในสภาพอาการนี้ ซึ่งถูกเรียกว่า Broken Heart Syndrome (หรือ Takotsubo cardiomyopathy) อันมีสาเหตุมาจากการที่สมองหลั่งสารเคมีออกมาเพื่อทำให้เนื้อเยื่อหัวใจอ่อนแอลง
มุมมองในเชิงปรัชญา
คนหลายๆคนไม่รู้ตัวถึงอาการอกหักในทันที แต่ใช้เวลาระยะหนึ่งในการรับรู้ถึงความเจ็บปวดทั้งทางอารมณ์และกายภาพอย่างสมบูรณ์ดั่งที่ Jeffrey Moussaieff Masson กล่าวเอาไว้ว่า:
มนุษย์หาได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ตนมีตลอดเวลา เช่นเดียวกับเดรฉานที่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกของมันออกมาเป็นคำพูดได้ นี่มิได้หมายความว่าพวกมันไม่มีความรู้สึก ซิกมุนด์ ฟรอยด์เคยกล่าวเอาไว้ว่า ผู้ชายอาจจะตกหลุมรักผู้หญิงสักคนหนึ่งได้ถึงเวลา 6 ปี โดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งหลายอีกปีผ่านไป ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อโลก เขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่เขาไม่รู้ออกมาเป็นคำพูดได้ เขามีความรู้สึกแต่เขาไม่รู้จักมัน อาจจะดูเหมือนเป็นการขัดแย้งในตัวเองเพราะเราคิดถึงสิ่งที่เรารู้สึก คิดถึงบางสิ่งที่เรารับรู้อย่างมีสติ ดั่งที่ฟรอยด์กล่าวเอาไว้ในบทความ The Unconscious (จิตไร้สำนึก) "เป็นที่แน่นอนที่สุดว่าแก่นแท้ของอารมณ์ที่เราควรจะตระหนักถึง แต่ก็อีกนั่นแหละ มันยิ่งกว่าคำถามที่ว่าเราสามารถ "มี" ความรู้สึกที่เราไม่รู้
ในมุมมองของพุทธศาสนา
ตามแนวคิดของพุทธศาสนานั้น การพลัดพรากจากบุคลที่รักนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของโลก อันมีผลมาจากผลกรรม ดังที่กล่าวเอาไว้ในพระไตรปิฎกดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนือง ๆว่าเราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความพอใจ ความรักใคร่ในของรักมีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนือง ๆ ย่อมละความพอใจ ความรักใคร่นั้นได้โดยสิ้นเชิงหรือทำให้เบาบางลงได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าเราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น.
ในวรรณกรรมคลาสสิก
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้
อาการ
อาการอกหักสามารถปรากฏได้โดยความเจ็บปวดทางจิต แต่ก็มีหลายๆผลกระทบที่ส่งผลเชิงกายภาพ ประสบการณ์อกหักนี้มักจะถูกคำนึงถึงในลักษณะที่อธิบายไม่ได้ รายการต่อไปนี้เป็นรายการของอาการโดยทั่วไปที่อาจเกิดขึ้น[ต้องการอ้างอิง]
ปวดแน่นหน้าอก ซึ่งคล้ายคลึงกับ Panic attack
ปวดท้อง และ/หรือ ไม่อยากอาหาร
นอนไม่หลับ
โกรธ
ตกใจ
ระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
เซื่องซึม
รู้สึกเหงา
สูญเสียความหวัง และแรงขับเคลื่อน
สูญเสียความเคารพและความเชื่อมั่นในตนเอง
ความเจ็บป่วยทางการแพทย์และจิตวิทยา
มีความต้องการฆ่าตัวตาย
เคลื่อนไส้อาเจียน
เหนื่อยล้า
Thousand-yard stare
ร้องไห้ถี่ๆ หรือต่อเนื่อง
รู้สึกอ้างว้าง
ร้ายแรงที่สุดคือ ตรอมใจตาย
ทุกขัง
ทุกข์ หรือ ทุกขัง (บาลี: ทุกฺขํ) เป็นหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา แปลว่าทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก โดยทั่วไปหมายถึง สังขารธรรม อันได้แก่ ขันธ์ 5 คือสังขารทั้งปวงล้วนเป็นที่ตั้งของกองทุกข์
ทุกข์ในทางพระพุทธศาสนา ถือเป็นกิจในอริยสัจ 4 ที่ชาวพุทธต้องกำหนดรู้เพื่อละและปล่อยวางในลำดับต่อไปในกิจทั้งสี่ในอริยสัจ อันได้แก่ รู้ทุกข์ เพื่อค้นหาสาเหตุในการดับทุกข์ (สมุทัย) แล้วจึงตั้งจุดมุ่งหมายในการดับทุกข์ (นิโรธ) และดำเนินตามเส้นทางสู่ความดับทุกข์ (มรรค) คือสละ ละ ปล่อยวาง ไม่ยึดติดในใจด้วยอำนาจกิเลส
ทุกข์ จัดเป็นหนึ่งในชื่อเรียกที่เป็นคำไวพจน์ของขันธ์ซึ่งถูกใช้เป็นอย่างมากในพระไตรปิฎก จะมาคู่กับคำไวพจน์ของขันธ์อีก 2 คำ คือ อนิจจัง กับ อนัตตา นั่นเอง
เนื้อหา
1 ความหมาย
2 ความแตกต่างของความหมายในภาษาไทย
3 ความแตกต่างของทุกข์ และทุกขลักษณะ
4 ดูเพิ่ม
5 อ้างอิง
ความหมาย
ทุกข์เป็นความจริงอันประเสริฐข้อที่ 1 ในอริยสัจจ์ 4 ทุกขอริยสัจจ์ ซึ่งพระพุทธองค์ได้อธิบายไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรดังนี้ ชาติ หมายถึง ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลงเกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
ชรา หมายถึง ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังย่นเป็นเกลียว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
มรณะ หมายถึง ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความแตกทำลาย ความหายไป มฤตยู ความตาย ความทำกาละ ความทำลายแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพไว้ ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
โสกะ หมายถึง ความแห้งใจ กิริยาที่แห้งใจ ภาวะแห่งบุคคลผู้แห้งใจ ความผาก ณ ภายใน ความแห้งผาก ณ ภายใน ของบุคคลผู้ประกอบด้วย ความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือ ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว
ปริเทวะ หมายถึง ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ กิริยาที่ร่ำไรรำพัน ภาวะของบุคคลผู้คร่ำครวญ ภาวะของบุคคลผู้ร่ำไรรำพัน ของบุคคลผู้ประกอบด้วย ความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว
ทุกข์ (กาย) หมายถึง ความลำบากทางกาย ความไม่สำราญทางกาย ความเสวยอารมณ์ อันไม่ดีที่เป็นทุกข์เกิดแต่ กายสัมผัส
โทมนัส หมายถึง ความทุกข์ทางจิต ความไม่สำราญทางจิต ความเสวยอารมณ์อันไม่ด ีที่เป็นทุกข์เกิดแต่ มโนสัมผัส (สัมผัสทางใจ นึกคิดขึ้นมา)
อุปายาส หมายถึง ความแค้น ความคับแค้น ภาวะของบุคคลผู้แค้น ภาวะของบุคคลผู้คับแค้น ของบุคคล ผู้ประกอบด้วยความพิบัติ อย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ถูกธรรมคือ ทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว
ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก หมายถึง ความประสบ ความพรั่งพร้อม ความร่วม ความระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ความรู้สึกทางกาย) อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ หรือด้วย บุคคลผู้ปรารถนาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่ไม่เกื้อกูล ปรารถนาความไม่ผาสุก ปรารถนาความไม่เกษมจากโยคะ (กิเลส) ซึ่งมีแก่ผู้นั้น
ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หมายถึง ความไม่ประสบ ความไม่พรั่งพร้อม ความไม่ร่วม ความไม่ระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือด้วยบุคคลผู้ปรารถนาประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่เกื้อกูล ปรารถนาความผาสุก ปรารถนาความเกษม จากโยคะ คือ มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่หญิง น้องหญิง มิตร อมาตย์ หรือ ญาติสาโลหิต ซึ่งมีแก่ผู้นั้น
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น หมายถึง ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่ สัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา สัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา สัตว์ผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดา สัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดา สัตว์ผู้มี โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราไม่พึงมีความเกิดเป็นธรรมดา ขอความเกิดอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความแก่เป็นธรรมดา ขอความแก่อย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความเจ็บเป็นธรรมดา ขอความเจ็บอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมีความตายเป็นธรรมดา ขอความตายอย่ามีมาถึงเราเลย ขอเราไม่พึงมี โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส เป็นธรรมดา ขอโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส อย่ามีมาถึงเราเลย สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
สรุปว่าอุปาทานขันธ์ 5 ทั้งหมดนั่นเองที่เป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัยที่สุด.
ปกติแล้วเรามักเห็นว่า บางครั้งท่านใช้ความหมายของทุกข์ควบคู่ไปกับทุกขเวทนา, จนทำให้เข้าใจกันว่า ทุกข์หมายถึงความทุกข์เจ็บปวด เป็นต้น แต่หากพิจารณาตามข้อความที่ยกมานี้ จะพบว่า ใน 11 ข้อนี้ มีถึง 6 ข้อ (เกินครึ่ง) ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงทุกขเวทนาเท่านั้น แต่หมายถึงขันธ์ทั้งหมด. 6 ข้อนี้ ได้แก่ ชาติ, ชรา, มรณะ, ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก, ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก,ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น.
เมื่อว่ากันทั่วไปตามโวหารโลกตามหลักวิชาการทางพระพุทธศาสนาแล้ว ในขณะที่เกิด (ปฏิสนธิขณะ) และขณะที่ตาย (จุติขณะ) ของสรรพสัตว์นั้น ไม่ว่าจะเกิดและตายอย่างพิศดารผาดโผนโจนทะยานเท่าใดก็ตาม แต่ชั่วเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่จะเกิดและตายนั้น จะไม่มีใครเกิด และตายอย่างมีทุกขเวทนา, และเมื่อว่าโดยปรมัตถ์ให้ละเอียดลงไป การเกิดขึ้น (อุปาทานุขณะ) ความแก่ (ฐิตานุขณะ) และความตาย (ภังคานุขณะ) ของขันธ์ ก็ไม่ได้มีกับทุกขเวทนาเท่านั้นด้วย แต่มีกับขันธ์ 5 แทบทั้งหมด. ส่วนความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก, ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก,ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั้นเมื่อว่าโดยตรงแล้วตัณหาจะไม่มีทุกขเทนาเด็ดขาด. และความประจวบ ความพลัดพรากนั้น ก็มีกับขันธ์ทั้งหมด. ส่วนความปรารถนาแล้วไม่ได้นั้นเมื่อว่าโดยตรงแล้ว ก็ไม่เกิดกับทุกขเวทนาเช่นกัน และเมื่อกล่าวโดยรวมแล้วก็ยังจัดได้ว่ามีกับขันธ์ 5 ทั้งหมดด้วยเช่นกัน.
ฉะนั้นทุกข์จึงไม่ใช่แต่เพียงทุกขเวทนาเท่านั้น แต่หมายถึงขันธ์ 5 ทั้งหมด ดังนั้นในพระสูตรทั่วไป เช่น จูฬเวทัทลสูตร เป็นต้น รวมถึงอรรถกถาต่างๆ เช่น อรรถกถาสติปัฏฐานสูตร เป็นต้น ท่านจึงได้อธิบายให้สุขเวทนาและอุเบกขาเวทนาว่าเป็นทุกข์ด้วย เพราะเป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปและเป็นสังขารธรรมเป็นต้นนั่นเอง.
นอกจากนี้ยังอาจแบ่งทุกข์ในอริยสัจ 4 ได้เป็น 2 กลุ่มคือ
สภาวทุกข์ คือทุกข์ประจำ ทุกข์ที่มีอยู่ด้วยกันทุกคน ไม่มียกเว้น ได้แก่ความเกิด ความแก่ ความตาย
ปกิณณกทุกข์ คือทุกข์จร ทุกข์ที่จรมาเป็นครั้งคราว ได้แก่ ความเศร้าโศก ความพร่ำเพ้อรำพัน ความไม่สบายใจ ความน้อยใจ ความคับแค้นใจ ความประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบ ความพลัดพรากจากสิ่งที่ชอบ ความผิดหวังไม่ได้ตามที่ต้องการ
ความแตกต่างของความหมายในภาษาไทย
บทความนี้ควรปรับปรุงภาษาหรือรูปแบบการเขียน อาจเพราะมีข้อความในภาษาอื่น หรือแปลไม่สมบูรณ์ (ดูเพิ่ม) ใช้ภาษาหรือการเขียนไม่ถูกต้องตามหลักภาษา คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ โดยการปรับปรุงภาษา การเขียน การสะกด และแก้ไขรูปแบบให้เป็นสารานุกรม
ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา มีศัพท์ที่เกี่ยวกับทุกข์อย่างน้อย 4 ศัพท์ ซึ่งใช้ทั่วไปในคัมภีร์ และมักจะถูกเข้าใจสับสนอยู่เสมอด้วย, 4 ศัพท์นี้ ได้แก่ ทุกฺขํ ทุกฺขเวทนา ทุกฺขตา และ ทุกฺขลกฺขณํ. ซึ่งเขียนในรูปแบบภาษาไทยได้ว่า ทุกข์ (ขันธ์ 5), ทุกขเวทนา (ความรู้สึกทุกข์), ทุกขตา (ทุกขลักษณะ), และทุกขลักษณะ (ทุกขตา) จึงขอให้คำจำกัดความไว้ดังนี้ :-
ทุกฺขํ หมายถึง ขันธ์ 5.
ทุกฺขเวทนา หมายถึง เวทนาขันธ์ ซึ่งเป็นเพียง 1 ในขันธ์ที่มีอยู่ทั้งสิ้น 5 ประการ.
ทุกฺขตา หมายถึง อาการที่ทนดำรงอยู่ไม่ได้เลยเป็นต้นของขันธ์ 5 (เป็นคำไวพจน์ของทุกขลักษณะนั่นเอง).
ทุกฺขลกฺขณํ หมายถึง อาการที่หมดสิ้นไปเป็นต้นของขันธ์ 5 (เป็นคำไวพจน์ของทุกขตานั่นเอง).
บรรดา 4 คำนี้ คำว่า ทุกข์ (ทุกฺขํ) มีใช้มากที่สุด และยังถูกเข้าใจผิดมากที่สุดอีกด้วย เพราะมักใช้แทนคำว่า ทุกขเวทนา กันตามความหมายในภาษาไทย และบางครั้งก็ยังแผลงศัพท์ไปใช้แทนคำว่าทุกขตาและคำว่าทุกขลักษณะอีกด้วย เช่น เขียนว่า ทุกขตา (ทุกข์) เป็นต้น ซึ่งที่จริงแล้ว ใช้แทนกันไม่ได้ เพราะทุกขตาหมายถึงทุกขลักษณะ แต่ทุกข์หมายถึงขันธ์ 5 ที่มีทุกขลักษณะนั้น.
ความแตกต่างของทุกข์ และทุกขลักษณะ
ทุกข์ กับ ทุกขลักษณะ เป็นคนละอย่างกัน เพราะเป็น ลักขณวันตะ และ ลักขณะ ของกันและกัน ดังนี้
ทุกข์ (ทุกฺขํ) - หมายถึง ขันธ์ 5 ทั้งหมด เป็นปรมัตถ์ เป็นสภาวะธรรม มีอยู่จริง, คำว่า"ทุกข์"เป็นคำไวพจน์ชื่อหนึ่งของขันธ์ 5.
ทุกขลักษณะ (ทุกฺขตา,ทุกฺขลกฺขณํ) - หมายถึง เครื่องกำหนดขันธ์ 5 ทั้งหมดซึ่งเป็นตัวทุกข์. ทุกขลักษณะเป็นบัญญัติ ไม่ใช่สภาวะธรรม ไม่มีอยู่จริง ดังที่ท่านกล่าวไว้ในอัฏฐสาลินีว่า "วุฏฺฐานคามินี ปน วิปสฺสนา กิมารมฺมณาติ ลกฺขณารมฺมณาติ. ลกฺขณํ นาม ปญฺญตฺติคติกํ น วตฺตพฺพธมฺมภูตํ.-ก็วุฏฐานคามินีวิปัสสนามีอะไรเล่าเป็นอารมณ์ ตอบว่า มีลักษณะเป็นอารมณ์ ชื่อว่า ลักษณะมีคติเป็นบัญญัตติ เป็นนวัตตัพพธรรม ทุกขลักษณะทำให้เราทราบได้ว่าขันธ์ 5 เป็นทุกข์ บีบคั้น น่ากลัวมาก ซึ่งได้แก่ อาการความบีบคั้นบังคับให้เปลี่ยนแปลงไปอยู่เป็นเนืองนิจของขันธ์ 5 เช่น อาการที่ขันธ์ 5 บีบบังคับตนจากที่เคยเกิดขึ้น ก็ต้องเสื่อมสิ้นไปเป็นขันธ์ 5 อันใหม่, อาการที่ขันธ์ 5 จากที่เคยมีขึ้น ก็ต้องกลับไปเป็นไม่มีอีกครั้ง เป็นต้น.
ในวิสุทธิมรรค ท่านได้ยกทุกขลักษณะจากปฏิสัมภิทามรรคมาแสดงไว้ถึง 10 แบบ เรียกว่า โต 10 และในพระไตรปิฎกยังมีการแสดงทุกขลักษณะไว้ในแบบอื่นๆอีกมากมาย. แต่คัมภีร์ที่รวบรวมไว้เป็นเบื้องต้นเหมาะสำหรับเป็นคู่มือสำหรับปฏิบัติธรรมได้แก่ คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค เพราะสามารถจะจำคำที่คนโบราณใช้กำหนดกันจากคัมภีร์นี้แล้วนำไปใช้ได้ทันที ดังที่ท่านแสดงไว้เป็นต้นว่า "จกฺขุ อหุตฺวา สมฺภูตํ หุตฺวา น ภวิสฺสตีติ ววตฺเถติ - นักปฏิบัติธรรมย่อมกำหนดว่า "จักขุปสาทที่ยังไม่เกิดก็เกิดมีขึ้น พอมีขึ้นแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก"เป็นต้น (ให้เพ่งเล็งถึงลักษณะที่บีบบังคับตัวเองให้ต้องเปลี่ยนไป ก็จะกลายเป็นการกำหนดทุกขลักษณะ).
พูดเลยว่า “รัก” …บอกไปเลยว่า รักมากมาย หรือจะเป็น รักนะตัวเอง หรือ รักนะเด็กโง่ ก็ได้ไม่ว่ากัน เพราะเป็นคำสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ได้ใจความและตรงประเด็น วิธีบอกรัก แบบนี้เหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่เคยปากหนัก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่เค้ยไม่เคยจะหวานใส่คุณแฟนเลยสักครั้ง ลองหาสถานที่โรแมนติก แล้วบอกรักเบา ๆ กระซิบข้างหูกันดูบ้าง หรือถ้าระดับความกล้ามีมาก (เกินปกติ) ลองตะโกนบอกรักแฟนคุณดัง ๆ ต่อหน้าคนอื่นดูบ้างไหมล่ะ แม้จะทำเขาอายหน้าแดง แต่ที่ลงทุนลงแรงไปน่ะ ได้ใจชัวร์ ๆ
ของขวัญสื่อรัก ดอกไม้ ตุ๊กตา และอื่น ๆ ที่เขาชอบหรือกำลังอยากได้ เป็นพร๊อพบอกรักที่ให้เมื่อไหร่ คนรับเป็นต้องยิ้มแก้มปริ แถมไม่ต้องพูดว่ารักตรง ๆ ก็รู้ว่าคุณรักเขามากแค่ไหน เพราะการให้ของขวัญเป็น วิธีบอกรัก ที่เปรียบเหมือนการใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของอีกฝ่าย ถ้าให้ดีวางแผนเซอร์ไพร์สโดยไม่ให้เขารู้ล่วงหน้าด้วยนะ เช่น แกล้งให้เขาไปหยิบของชิ้นนั้นเอง หรือแอบวางไว้ในรถ กระเป๋า หรือที่อื่น ๆ ที่เขาจะ ต้องเห็นมันแน่ ๆ เป็นต้น
SMS บอกรัก ถ้าใจไม่กล้าพอจะพูด sms ก็เป็นตัวช่วยส่งสารความรักที่ได้รับความนิยมไม่น้อย แต่ถ้าอยากให้เก๋ไก๋ อาจต้องมีชั้นเชิงกันสักหน่อย เช่น พิมพ์ข้อความบอกรักไว้ก่อนล่วงหน้า (เอาแบบว่าพร้อมส่ง) และในวันสำคัญ ให้บอกคนรักของคุณว่ามีเรื่องจะพูดด้วย พร้อมทั้งทำหน้าและน้ำเสียงแบบจริงจัง แต่มีข้อแม้ว่าต้องเล่นแอ็คติ้งเนียน ๆ หน่อยนะ และเมื่อเขาอยากรู้ ในขณะที่เราก็กำลังจะเอ่ยปากบอก ให้กดส่ง sms ออกไปในทันใด ซึ่งดูเหมือนจะทำให้เสียบรรยากาศ แต่เมื่อเขาได้อ่าน sms หวาน ๆ จากคุณแล้ว รับรองหัวใจหล่นดังตุ๊บแน่นอน
บริการบอกรัก เดี๋ยวนี้อะไรก็ไฮเทค ถ้าจะเซอร์ไพร์สด้วย วิธีบอกรัก แบบเด็ดสะระตี่โดนใจโดยไม่ต้องลงมือทำเอง ก็ลองหาบริการบอกรักดูเป็นไงล่ะ ลองเสิร์จหาได้ทางอินเทอร์เน็ต มีเยอะแยะที่บริการทุกระดับประทับใจ
เพลงซึ้งบอกรัก ใครที่ชอบร้องคาราโอเกะเป็นทุนเดิม วิธีบอกรัก แบบนี้ก็เหมาะเหม็ง การที่คุณชวนคนรักไปดินเนอร์ในร้านอาหารที่มีดนตรีสด คุณอาจเตี๊ยมกับทางร้านไว้ว่าขอคิวขึ้นร้องเพลงสักเพลง และเมื่อเวลาเป็นใจก็โดดขึ้นไปร้องเพลงรักซึ้ง ๆ หรือเพลงที่คนพิเศษของคุณชอบ แต่อย่าลืมบอกผ่านไมโครโฟนไปด้วยว่าเพลงนี้สำหรับหวานใจของคุณเท่านั้น (โอ้…หวานซ้าาา)
โน้ตบอกรัก ทำได้โดยหยิบกระดาษโน้ตขนาดพอน่ารักมาเขียนคำบอกรักหวาน ๆ ชวนจั๊กกะจี้หัวใจ แปะไว้ในทุก ๆ ที่ที่เขาจะสามารถมองเห็นได้ แนะนำว่าเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งดี รับรองว่าคนรักของคุณต้องยิ้มไม่หุบแน่ ๆ เลย
บอกรักผ่านดีเจ ถ้าคุณคือผู้ที่กดโทรศัพท์ได้ไวพอล่ะก็ การขอเพลงบอกรักผ่านคุณพี่ดีเจ ก็เป็น วิธีบอกรัก ที่โรแมนติกไม่เบาเลย แต่ต้องแน่ใจว่าเขาคนนั้นก็กำลังฟังเพลงคลื่นเดียวกับคุณอยู่ และนอกจากจะขอเพลงเป็นตัวแทนบอกรักแล้ว อย่าลืมที่จะฝากข้อความหวาน ๆ ถึงเขาด้วยล่ะ (ไหน ๆ ก็อุตส่าห์โทรติดอ่ะนะ)
จดหมายรัก Love Letter นานแค่ไหนแล้วที่คุณไม่ได้เขียนจดหมายส่งทางไปรษณีย์ งั้น… ลองหยิบกระดาษปากกามาถ่ายทอดความในใจของคุณไปถึงคนที่รักก่อนถึงวันสำคัญ ก็โรแมนติกไปอีกแบบนะ(ว่าไหม)
บทความซึ้งๆ
ธรรมชาติของรัก มักไม่ให้โทษแก่ใคร เพียงแต่อาจปรุงแต่งให้หัวใจพองฟู จนลืมนึกถึงความจริงที่ว่า มีวันที่รักมา ก็อาจมีวันที่รักไปได้ ”
“ เราไม่ได้เจ็บปวดเพราะความรักสิ้นสุดลง แต่…เราเจ็บปวดเพราะความรักยังคงดำเนินต่อไป ”
“ มีสามสิ่งที่เราไม่สามารถปกปิดได้ และถ้ายิ่งซ่อนเท่าไหร่ มันจะยิ่งแสดงออกมา คือ ความรัก…ความยากจน…และการไอ ”
“ฉันรักเธอมากนะ แต่ฉันก็รักตัวเองมากเช่นกัน ”
“ฉันก้อเหมือนกับดวงจันทร์ ที่โคจรรอบโลก ไม่สามารถผละจากวงโคจรได้ ไม่ว่าฉันจะพยายามสักเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะตัดเขาออกจากใจได้สักที “ การรักคนที่ไม่รักเราว่าทรมานแล้ว ยังทรมานน้อยกว่าความพยายาม ที่จะเกลียดคนที่รักและเราก็รักจนหมดหัวใจ ”
ชั้นไม่ได้ห่วงตัวคุณมากกว่าตัวชั้น แล้วชั้นก็ไม่ได้ห่วงตัวชั้นมากกว่าตัวคุณ ชั้นห่วงทั้งตัวคุณและตัวชั้นเท่าๆ กัน… ”
“ มีอยู่สองสิ่งที่คนเรา ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ คือเวลาและคำพูด
“ หากวันหนึ่งเธอมองไปแล้วไม่เห็นฉัน อย่าตกใจ เพราะฉันไม่ได้หายไปไหน ฉันอยู่ในตัวของเธอไง เธอจึงมองไม่เห็นฉัน ขาของเธอคือ ขาของฉัน.. ตัวของเธอคือ ตัวของฉัน ไม่ว่าจะที่ไหนฉันอยู่กับเธอเสมอ…”
ธรรมชาติของรัก มักไม่ให้โทษแก่ใคร เพียงแต่อาจปรุงแต่งให้หัวใจพองฟู จนลืมนึกถึงความจริงที่ว่า มีวันที่รักมา ก็อาจมีวันที่รักไปได้ ”
“ เราไม่ได้เจ็บปวดเพราะความรักสิ้นสุดลง แต่…เราเจ็บปวดเพราะความรักยังคงดำเนินต่อไป ”
“ มีสามสิ่งที่เราไม่สามารถปกปิดได้ และถ้ายิ่งซ่อนเท่าไหร่ มันจะยิ่งแสดงออกมา คือ ความรัก…ความยากจน…และการไอ ”
“ฉันรักเธอมากนะ แต่ฉันก็รักตัวเองมากเช่นกัน ”
“ฉันก้อเหมือนกับดวงจันทร์ ที่โคจรรอบโลก ไม่สามารถผละจากวงโคจรได้ ไม่ว่าฉันจะพยายามสักเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะตัดเขาออกจากใจได้สักที “ การรักคนที่ไม่รักเราว่าทรมานแล้ว ยังทรมานน้อยกว่าความพยายาม ที่จะเกลียดคนที่รักและเราก็รักจนหมดหัวใจ ”
ชั้นไม่ได้ห่วงตัวคุณมากกว่าตัวชั้น แล้วชั้นก็ไม่ได้ห่วงตัวชั้นมากกว่าตัวคุณ ชั้นห่วงทั้งตัวคุณและตัวชั้นเท่าๆ กัน… ”
“ มีอยู่สองสิ่งที่คนเรา ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ คือเวลาและคำพูด
“ หากวันหนึ่งเธอมองไปแล้วไม่เห็นฉัน อย่าตกใจ เพราะฉันไม่ได้หายไปไหน ฉันอยู่ในตัวของเธอไง เธอจึงมองไม่เห็นฉัน ขาของเธอคือ ขาของฉัน.. ตัวของเธอคือ ตัวของฉัน ไม่ว่าจะที่ไหนฉันอยู่กับเธอเสมอ…”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น