วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

สถานที่ท่องเที่ยว















































































































































































































































































































































































































































































































สถานที่ท่องเที่ยวจ.ตราด
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง (กิ่งอำเภอเกาะช้าง)
ตราด
เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งที่สี่ มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 650 ตรกม. ประกอบด้วยเกาะต่างๆ 47 เกาะเรียงราย
ตั้งแต่เขตอำเภอแหลมงอบ อำเภอเมือง และอำเภอคลองใหญ่ เกาะที่สำคัญที่สุด คือ เกาะช้าง นอกจากนี้ยังมีเกาะอื่นๆ
ที่ยังคงสภาพความสวยงามตามธรรมชาติได้แก่ เกาะคลุ้ม เกาะเหลายาใน เกาะง่าม เกาะไม้ชี้ใหญ่ เกาะหวาย เกาะรัง ฯลฯ ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2525
เกาะช้าง
ตั้งอยู่ในเขตอำเภอแหลมงอบ เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศรองจากเกาะภูเก็ตมีเนื้อที่ประมาณ 429 ตรกม. ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขาสูงมีผาหินสลับซับซ้อนยอดเขาที่สูงที่สุด ได้แก่ เขาสลักเพชร (สูง744 เมตร)
รองลงไป ได้แก่ เขาจอมประสาท และเขาหอม มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบเขา อันเป็นบ่อเกิดของต้นน้ำลำธาร
ทำให้มีน้ำตกหลายแห่งบนเกาะ ชายหาดที่สวยงามอยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะ บนเกาะช้างมีประชาชนอาศัยอยู่ถึง 8 หมู่บ้าน
ที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะช้างใกล้คลองธารมะยมที่ด้านหน้ามีท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ของอุทยานฯ
นอกจากนี้ยังมีหน่วยพิทักษ์อุทยานอีก 3 จุด คือ บริเวณอ่าวคลองสน บริเวณทางเข้าน้ำตกคลองพลู และบริเวณหมู่บ้านสลักเพชร
สถานที่น่าสนใจ บนเกาะช้าง
หาดทรายขาว
เป็นหาดที่มีระยะทางยาว 6 กม. มีบังกะโลตั้งอยู่หลายแห่ง มีถนนรอบเกาะตัดชิดหาดมากที่สุด สามารถเล่นน้ำได้
แต่บางช่วงของหาดจะต่างระดับ ลึกตื้นไม่เท่ากัน เลียบชายหาดมี โรงแรม รีสอร์ท ร้านค้า ร้านอาหารตตั้งอยู่เรียงรายมากมาย ดูเหมือนว่าบริเวณนี้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าบริเวณอื่นๆ
หาดคลองพร้าว-แหลมไชยเชษฐ์
เป็นหาดทรายที่มีความยาวมาก ติดต่อกับหาดไก่แบ้หาดทราย บริเวณนี้มีความลาดมากสามารถเล่นน้ำได้
มีบังกะโลให้เช่าพักหลายแห่ง ห้องพักที่ได้มาตรฐาน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ไม่แพ้หาดทรายขาว
หาดแห่งนี้นักท่องเที่ยวให้ความนิยมมาเล่นกิฬาทางน้ำ กิจกรรมชาตหาดเป็นจำนวนมาก ตอนเหนือสุดของอ่าวคลองพร้าว
ติดต่อกับอ่าวไชยเชษฐ์ และแหลมไชยเชษฐ์ ซึ่งมีแหลมหิน มีทัศนียภาพสวยงาม แต่ไม่สามารถเล่นน้ำได้
หาดไก่แบ้
เป็นหาดทรายที่มีความลาดพอสมควร สามารถเล่นน้ำได้โดยไม่เป็นอันตราย มีบังกะโล ราคาประหยัดให้เช่าหลายแห่ง
เป็นที่นิยมอาบแดดของชาวต่างชาติ โรงแรงระดับหรูที่นิยมคือ ซีวิวรีสอร์ทอยู่บนเนินปลายสุดของหาด
ศูนย์กลางหาดอยู่บริเวณ ไก่เบ้บีช มีร้านค้า ร้านอาหาร เช่ารถ และเป็นที่จอดคิดรถสองแถว บริเวณใกล้เคียงหาด เราจะมองเห็น เกาะมันในเกาะมันนอก และเกาะหยวก

อ่าวใบลาน

เป็นหาดเงียบสงบ อยู่ระหว่างหาดไก่เบ้ และหมู่บ้านบางเบ้า เป็นหาดยาวประมาณ 12 กม. เล่นน้ำได้
นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมมาอาบแดด เล่นน้ำตากลม กันที่นี่
หมู่บ้านประมงบางเบ้า
เป็นหมู่บ้านประมงที่น่าสนใจ บ้านพักอาศัยปลูกโดยปักเสาลงในทะเล มีสะพานเชื่อมติดต่อกันโดยตลอด
ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพประมงดักปลาหมึก มีบังกะโลที่พักและแหล่งปะการังใต้น้ำ
บ้านสลักเพชร-บ้านโรงถ่าน
เป็นสองชุมชนใหญ่ที่สุดบนเกาะช้าง ตั้งอยู่ติดกันทางตอนใต้ของเกาะ รอบอ่าวสลักเพชรซึ่งเป็นอ่าวใหญ่ที่สุด
บนเกาะมีท่าเทียบเรือหลายแห่ง มีบังกะโล และร้านขายอาหารเล็กๆ สลับกันไป
น้ำตกธารมะยม
อยู่หลังที่ทำการอุทยานฯ เดินผ่านสวนผลไม้เข้าไปประมาณ 500 เมตร เป็นน้ำตกขนาดกลางมี 3 ชั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5, 6, 7 และ 9 เคยเสด็จประพาสมายังน้ำตกนี้
น้ำตกคลองพลู
อยู่ห่างจากอ่าวคลองพร้าว 3 กม. จากนั้นต้องเดินป่าอีกประมาณ 20 นาที เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มี 3 ชั้น
น้ำตกคลองนนทรี
อยู่ห่างจากบ้านด่านใหม่ตามทางเดินเท้า 3 กม. หรือจากที่ทำการอุทยานฯ เป็นระยะทางประมาณ 4 กม. เป็นน้ำตกขนาดเล็ก
น้ำตกคีรีเพชร
เป็นน้ำตกชั้นเดียว อยู่ห่างจากชุมชนบ้านสลักเพชรผ่านสวนยางเป็นระยะทาง 3 กม.
น้ำตกคลองหนึ่ง
เป็นน้ำตกขนาดเล็ก อยู่ลึกเข้าไปจากชุมชนสลักเพชร ใกล้น้ำตกคีรีเพชร
บริเวณยุทธนาวีเกาะช้าง
จุดที่เกิดยุทธนาวีนี้อยู่ทางตอนใต้ของเกาะช้างใกล้อ่าวสลักเพชร เป็นบริเวณที่เกิดการสู้รบระหว่างไทยกับฝรั่งเศส
ในกรณีพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนทางด้านตะวันออก เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2484 โดยฝ่ายไทยสามารถขับไล่ข้าศึกให้ล่าถอยไปได้
แต่ต้องสูญเสียเรือรบหลวง 3 ลำ คือ เรือรบหลวงสงขลา เรือรบหลวงชลบุรี และเรือรบหลวงธนบุรี และทหารอีกจำนวนหนึ่ง
ทุกปีในวันที่ 17 มกราคม กองทัพเรือจึงถือเป็นวันทำบุญประจำปี เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ทหารเรือไทยที่ได้สละชีวิต
ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย
อ่าวคลองสน
เป็นอ่าวอยู่ทางเหนือสุดของเกาะฝั่งตะวันตก มีบังกะโลอยู่ประปรายใกล้ๆ อ่าวคลองสนมีแนวปะการังใต้น้ำ
การเดินทางไปเกาะช้าง

- การเดินทางไปเกาะช้างจากแหลมงอบ ใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง แล้วแต่จุดใกล้ไกลบนเกาะที่จะไปขึ้นฝั่ง สำหรับฝั่งตะวันออกของเกาะสามารถเดินทางโดยทางเรือได้เกือบตลอดปี ส่วนด้านฝั่งตะวันตกของเกาะ
ประมาณเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม จะมีลมมรสุมซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือ

จากตัวเมืองบริเวณหอนาฬิกาจังหวัดตราดมีรถสองแถวไปแหลมงอบ ระยะทาง 17 กม. จากแหลมงอบเช่าเรือไปที่ทำการอุทยานฯ
ระยะทาง 8 กม. ใช้เวลา 45 นาที มีเรือโดยสารวิ่งระหว่างแหลมงอบกับจุดต่างๆ บนเกาะช้างทุกวัน วันละ 1-2 เที่ยว
อัตราค่าโดยสารคนละ 50-70 บาท หรือเช่าเหมาเรือไป-กลับ ราคาประมาณ 800-2,500 บาท ตามระยะทาง
หากเหมานำเที่ยวรอบเกาะ ราคาประมาณ 3,500 บาท ค้างคืนเพิ่มอีก 1,000 บาท การเดินทางไปเกาะช้างจากท่าเทียบ
เรือเกาะช้างเซ็นเตอร์พอยต์ ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือเปิดใหม่ของภาคเอกชนตั้งอยู่ ถนนแหลมงอบ-แสนตุ้ง
สามารถนั่งรถสองแถวสายตราด-แหลมงอบไปยังท่านี้ได้ มีเรือโดยสารและเรือเช่าเหมาลำไว้บริการนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปเกาะช้าง
และหมู่เกาะต่างๆ อัตราค่าโดยสารไปเกาะช้างคนละ 80 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. (039) 538056-8

หมู่เกาะต่างๆ ที่น่าสนใจ

เกาะช้างน้อย และ แหลมช้างน้อย

อยู่ทางด้านเหนือของเกาะช้างท้องน้ำระหว่างแหลมช้างน้อย กับเกาะช้างน้อยจะมีแนวปะการังอยู่ด้วย

เกาะมันนอก-มันใน

เป็นเกาะเล็ก อยู่ตรงข้ามหาดไก่แบ้เมื่อน้ำลดจะมีหาดอยู่รอบๆ เกาะ ท้องน้ำบริเวณเกาะมันนอก-เกาะมันใน
ค่อนข้างตื้นและมีสาหร่ายสีทองขึ้นเป็นจำนวนมาก

เกาะคลุ้ม

เป็นเกาะประวัติศาสตร์จากยุทธนาวีที่เกาะช้าง เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่เหมาะสำหรับ การตกปลา และชมทัศนียภาพของลานหิน
คือ หินลูกบาตและหินลาดหลังคุ้ม

เกาะเหลายา

เป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ใกล้กับเกาะช้าง ประกอบด้วยเกาะเหลายาใน เกาะเหลายากลาง และเกาะเหลายานอก
ใช้เวลาเดินทางจากแหลมงอบประมาณ 2.30 ชั่วโมง มีสถานที่พัก คือ เกาะเหลายาพาราไดซ์ ไอซ์ แลนด์ รีสอร์ท
มีบังกะโล 24 หลัง ราคา 1,500-1,800 บาท มีเรือของรีสอร์ทบริการ
รายละเอียดติดต่อ โทร. (039) 512818,512828, 531838-40

เกาะหวาย

เป็นเกาะใหญ่อีกเกาะหนึ่ง ตั้งอยู่ใกล้กับเกาะเหลายา ใช้เวลาเดินทางจากแหลมงอบประมาณ 2.30 ชั่วโมง
หาดส่วนใหญ่เป็นหินประกอบด้วยอ่าวใหญ่ๆ ที่มีแนวชาย หาดสวยงาม มีแนวปะการังขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าเกาะ
มีสะพานท่าเทียบเรือให้นักท่องเที่ยว ขึ้นลง มีบ้านพักและบังกะโลให้เช่าหลายแห่ง

เกาะพร้าว หรือ เกาะทรายขาว

อยู่ทางทิศใต้หน้าอ่าวสลักเพชร ใช้เวลาเดินทางจากท่าเรือแหลมงอบประมาณ 2 ชั่วโมง เป็นเกาะที่มีหาดทรายสะอาด
และร่มรื่นด้วยต้นมะพร้าว มีบังกะโลเปิดบริการ

เกาะง่าม

ตั้งอยู่ติดกับเกาะช้างทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีภูมิประเทศเป็นภูเขาแฝด 2 เกาะ วางแนวขนาดกันโดยมีโขดทรายขนาดใหญ่เชื่อมตรงกลาง ชายหาดส่วนใหญ่เป็นหิน มีหาดทราย เล็กๆ 2-3 หาด มีทะเลสาบขนาดใหญ่ 1 แห่ง และเล็ก 1 แห่ง เกิดจากแนวเขาที่โอบน้ำทะเลไว้ จึงเป็นบริเวณที่คลื่นลมสงบ การเดินทางจากแหลมงอบใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
คำขวัญ จ.ตราด
เมืองเกาะครึ่งร้อย พลอยแดงค่าล้ำ ระกำแสนหวาน หลังอานหมาดี ยุทธนาวีเกาะช้าง สุดทางบูรพา

ข้อมูล
เมืองตราดสันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากคำว่า กราด ที่เป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ใช้ทำไม้กวาด ต้นไม้ชนิดนี้มีขึ้นอยู่รอบเมืองตราด ซึ่งในสมัยนั้นมีต้นกราดอยู่เป็นจำนวนมาก แต่พอถึงในสมัยกรุงศรีอยุธยา รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมืองตราดมีชื่อในขณะนั้นว่า บ้านบางพระ จังหวัดตราด หรือเมืองทุ่งใหญ่ปรากฏชื่อในทำเนียบหัวเมืองสมัยพระเจ้าปราสาททอง ( พ . ศ . ๒๑๗๘ ) ว่าเป็นหัวเมืองชายทะเล สังกัดฝ่ายการต่างประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับด้านการคลัง ตราดเป็นหนึ่งในเมืองท่าชายทะเล ที่มีชัยภูมิเหมาะกับการแวะจอดเรือ เพื่อขนถ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า เติมเสบียงอาหาร น้ำจืดบริเวณอ่าวเมืองตราด จึงเป็นแหล่งที่ตั้งชุมชนพ่อค้าชาวจีนที่เดินทางเข้ามาค้าขาย ตราดนับเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงปลายอยุธยา สินค้าที่ส่งออกขายยังแดนไกล โดยเฉพาะของป่า เช่น เขากวาง หนังสัตว์ ไม้หอม และเครื่องเทศต่าง ๆ ล้วนมาจากเขตป่าเขาชายฝั่งทะเลตะวันออก แถบระยอง จันทบุรี ตราด โดยลำเลียงสินค้าผ่านมาตามแม่น้ำเขาสมิง ออกสู่ปากอ่าวตราด
เมื่อครั้งสงครามกู้เอกราชสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเลือกตราดเป็นเมืองหน้าด่านกันชน ทำหน้าที่ส่งเสบียงอาหารก่อนเคลื่อนกองทัพเรือออกจากจันทบุรี
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เมืองตราดยังเป็นเมืองท่าสำคัญแห่งหนึ่งเช่นเดียวกับในสมัยอยุธยา ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ไทยทำศึกกับเจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันท์ซึ่งต่อมาหันไปสวามิภักดิ์กับญวน ไทยกับญวนผิดใจกันจนต้องทำสงครามกันในปี พ . ศ . ๒๓๗๑ ตราดเป็นแหล่งกำลังพล และเสบียงอาหารมีการตั้งป้อมค่ายอยู่ที่บ้านแหลมหิน ปากอ่าวเมืองตราด
สมัยรัชกาลที่ ๕ ฝรั่งเศสได้ส่งกองทัพเรือเข้ายึดจันทบุรี ปี ร . ศ . ๑๑๒ ( พ . ศ . ๒๔๓๖ ) และคืนให้ไทยในปี พ . ศ . ๒๔๔๗ โดยแลกกับเมืองตราดตั้งแต่แหลมสิงห์ไปจนถึงเกาะกูด รวมทั้งเมืองปัจจันตคีรีเขตร ( เกาะกง ) ต่อมารัฐบาลไทยเห็นว่าตราดมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ และพลเมืองส่วนใหญ่เป็นคนไทย ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝรั่งเศสจึงยินยอมทำสัญญายกเมืองตราดกับเมืองด่านซ้ายฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ( เมื่อหันหน้าไปทางปากแม่น้ำ ) คืนให้กับไทยโดยแลกเปลี่ยนกับพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พ . ศ . ๒๔๔๙ โดยฝ่ายไทยมีพระยามหาอำมาตยาธิบดี ซึ่งในขณะนั้นเป็นพระยาศรีเทพตำแหน่งปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยเป็นหัวหน้าผู้แทนรัฐบาลไทย ฝ่ายฝรั่งเศสมีเมอซิเออร์รูซโซ เรซิดังเป็นหัวหน้าผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสได้กระทำพิธีส่ง และรับมอบกัน ณ ศาลากลางจังหวัด และฝรั่งเศสยอมถอนทหารออกไปเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พ . ศ . ๒๔๕๐
ในช่วงสงครามอินโดจีน ( พ . ศ . ๒๔๘๓ - ๒๔๘๔ ) ฝรั่งเศสพยายามเข้ายึดเมืองตราดอีกเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พ . ศ . ๒๔๘๔ กองทัพเรือไทยได้เข้าต่อสู้ขัดขวางกองทัพเรือฝรั่งเศสที่ล่วงล้ำน่านน้ำไทยอย่างกล้าหาญ รักษาเมืองยุทธศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ได้ ปี พ . ศ . ๒๕๒๑ เกิดสงครามสู้รบในกัมพูชา ชาวเขมรนับแสนหนีตายทะลักเข้ามาในเขตไทยทางเทือกเขาบรรทัด เขตพรมแดนด้านตะวันออก เส้นทางหลวงหมายเลข ๓๑๘ จากตัวเมืองตราดเลียบขนานเทือกเขาบรรทัด และชายฝั่งทะเลสู่อำเภอคลองใหญ่เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สายสำคัญ เมื่อสงครามสงบลงในปี พ . ศ . ๒๕๒๙ เส้นทางสายนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นเส้นทางการค้าระหว่างชายแดนไทย - กัมพูชาบริเวณตลาดหาดเล็ก สุดเขตชายแดนไทย และเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางต่อไปยังเกาะกง
การขุดพบ พลอยแดง หรือ ทับทิมสยาม ในเขตอำเภอบ่อไร่เมื่อปี พ . ศ . ๒๕๑๔ ก่อกระแสการตื่นพลอย ผู้คนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลเข้ามาแสวงโชคที่นี่ความเจริญทุกด้านมุ่งสู่บ่อไร่จนกลายเป็นเมืองใหญ่คู่กับตัวเมืองตราด พื้นที่ที่เคยเป็นป่าทึบกลายเป็นหลุมบ่อ เมื่อทรัพย์สินในดินเริ่มหมดไป ในปี พ . ศ . ๒๕๓๔ บ่อไร่กลายเป็นเมืองร้าง เหลือไว้เพียงอาคารร้านค้าซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ
จังหวัดตราด อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ๓๑๕ กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ ๒ ,๘๑๙ตารางกิโลเมตร เป็นจังหวัดชายแดนทาง ภาคตะวันออกของประเทศไทย แบ่งการปกครองออกเป็น ๕ อำเภอ กับ ๒ กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอเขาสมิง อำเภอแหลมงอบ อำเภอคลองใหญ่ อำเภอบ่อไร่ กิ่งอำเภอเกาะกูด และกิ่งอำเภอเกาะช้าง
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดจันทบุรี และราชอาณาจักรกัมพูชา
ทิศใต้ ติดต่อกับอ่าวไทย
ทิศตะวันออก ติดต่อกับราชอาณาจักรกัมพูชา มีทิวเขาบรรทัดเป็นเส้นกั้นเขตแดน
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดจันทบุรี มีแม่น้ำเวฬุเป็นเส้นกั้นเขตแดน
ระยะทางจากอำเภอเมืองไปยังอำเภอต่าง ๆ
อำเภอเขาสมิง ๑๖ กิโลเมตร
อำเภอแหลมงอบ ๑๗ กิโลเมตร
อำเภอบ่อไร่ ๕๙กิโลเมตร
อำเภอคลองใหญ่ ๗๔ กิโลเมตร
กิ่งอำเภอเกาะช้าง ๒๗ กิโลเมตร
กิ่งอำเภอเกาะกูด ๘๒ กิโลเมตร
ระยะทางจากจังหวัดตราดไปจังหวัดใกล้เคียง
จันทบุรี ๗๐ กิโลเมตร
ระยอง ๑๗๙ กิโลเมตร
ชลบุรี ๒๓๔ กิโลเมตร


การเดินทาง
รถยนต์ จากกรุงเทพฯ สามารถใช้เส้นทางได้ ๓ สาย คือ
๑ . บางนา - ตราด ( เส้นทางหลวงหมายเลข ๓ ) ผ่านชลบุรี - ระยอง - จันทบุรี - ตราด ระยะทางประมาณ ๓๘๕ กิโลเมตร
๒ . บางนา - ชลบุรี - แกลง - จันทบุรี - ตราด ( เส้นทางหลวงหมายเลข ๓๔๔ ) ระยะทางประมาณ ๓๑๘ กิโลเมตร
๓ . ทางหลวงพิเศษ (motor way) เริ่ม กิโลเมตรที่ ๐ ที่แยกถนนศรีนครินทร์ตัดถนนรามคำแหง และมาออกที่เส้นทางบ้านบึง - แกลง - จันทบุรี - ตราด
รถโดยสารประจำทาง มีทั้งรถธรรมดา และรถปรับอากาศออกจาก สถานีขนส่งสายตะวันออก ( เอกมัย ) ถนนสุขุมวิท
รถโดยสารปรับอากาศ มีรถปรับอากาศ ชั้น ๑ ( ปอ . ๑ ) ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๕ ชั่วโมง
นอกจากนั้นยังมีบริษัทเดินรถเอกชนที่วิ่งบริการ ได้แก่ บริษัท เชิดชัย ทัวร์ โทร . ๐ ๒๓๙๑ ๒๒๓๗ , ๐ ๒๓๙๑ ๔๑๖๔ สาขาตราด โทร . ๐ ๓๙๕๑ ๑๐๖๒ , โชคอนุกูล ทัวร์ โทร . ๐ ๒๓๙๒ ๗๖๘๐ สาขาตราด โทร . ๐ ๓๙๕๑ ๑๕๘๗ และ ศุภรัตน์ ทัวร์ บริการรถ V.I.P. โทร . ๐ ๒๓๙๑ ๒๓๓๑ สาขาตราด โทร . ๐ ๓๙๕๑ ๑๔๘๑
รถโดยสารธรรมดา ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ประชาสัมพันธ์สถานีขนส่งเอกมัย โทร . ๐ ๒๓๙๑ ๒๕๐๔ , ๐ ๒๓๙๑ ๔๑๖๔ จาก สถานีขนส่งหมอชิต ถนนกำแพงเพชร ๒ มีบริการรถปรับอากาศชั้น ๑ ไปจังหวัดตราดทุกวัน (วิ่งเส้นมอเตอร์เวย์ ) สอบถามที่รายละเอียดเพิ่มเติม โทร . ๐ ๒๕๓๗ ๘๐๕๕ , ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๕๒ – ๖ นอกจากนั้นยังมีบริษัทเดินรถเอกชนที่วิ่งบริการ ได้แก่ บริษัท ศุภรัตน์ ทัวร์ โทร . ๐ ๒๙๓๖ ๓๓๘๘ สาขาตราด โทร . ๐ ๓๙๕๑ ๑๔๘๑ บริษัท เชิดชัย ทัวร์ โทร. ๐ ๒๙๓๖ ๐๑๙๙ สาขาตราด โทร. ๐ ๓๙๕๑ ๑๐๖๒
เครื่องบิน บริษัท บางกอกแอร์เวย์ จำกัด มีเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพฯ - ตราด ( อยู่ในเขตอำเภอเขาสมิง ) ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และอาทิตย์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร . ๐ ๒๒๖๕ ๕๕๕๕ , ๐ ๒๒๖๕ ๕๖๗๘ สำนักงานตราด โทร . ๐ ๓๙๕๒ ๕๗๖๗ - ๘ , ๐ ๓๙๕๒ ๕๒๙๙ www.bangkokair.com (มีบริการรถรับ-ส่งนักท่องเที่ยวจากสนามบินไปท่าเรือเฟอร์รี่ ที่จะข้ามไปเกาะช้าง)
การเดินทางไปจังหวัดใกล้เคียง
ตราด - จันทบุรี จากหน้าตลาดในตัวเมืองมีรถโดยสารประจำทางวิ่งบริการไปจังหวัดจันทบุรีทุกวันตั้งแต่เวลา ๐๘ . ๐๐ - ๑๕ . ๓๐ น .ออกทุกครึ่งชั่วโมง ใช้เวลาเดินทาง ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที ค่าโดยสารประมาณ ๔๐ บาท นอกจากนั้นยังมีรถแท็กซี่วิ่งไป - กลับจันทบุรี - ตราดทุกวัน โดยมีรถออกจากจันทบุรีบริเวณวงเวียนน้ำพุ และออกจากตราดข้างโรงแรมเมืองตราด ตั้งแต่เวลา ๐๖ . ๐๐ - ๑๗ . ๐๐ น . ใช้เวลาในเดินทางประมาณ ๑ ชั่วโมง ๒๐ นาที ค่าโดยสารคนละ ๖๐ บาท ( ๕ - ๖ คน / ๑ คัน )
บ่อไร่ - จันทบุรี เวลา ๐๘ . ๐๐ - ๑๗ . ๐๐ น . ออกทุกครึ่งชั่วโมง เวลาเดินทาง ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที ค่าโดยสาร ๕๐ บาท
บ่อไร่ - แม่สอด จังหวัดตาก มีรถสองเที่ยว เวลา ๐๗ . ๓๐ และ ๐๘ . ๓๐ น . ใช้เวลาเดินทาง ๑๕ ชั่วโมง ค่าโดยสาร ๒๐๐ บาท
การเดินทางภายในจังหวัด
ตราด - คลองใหญ่ ( รถสองแถว) ระยะทาง ๗๕ กิโลเมตร รถออกจากหลังตลาดเทศบาล ตั้งแต่เวลา ๐๖ . ๐๐ - ๑๘ . ๐๐ น . ค่าโดยสาร ๘๐ บาท ( จากคลองใหญ่ต่อรถไปบ้านหาดเล็ก ๒๐ บาท )
ตราด - บ้านหาดเ ล ็ก ( รถตู้ ) ระยะทาง ๙๐ กิโลเมตร รถออกจากหน้าโรงหนังสีตราดดราม่า ตั้งแต่เวลา ๐๖ . ๐๐ - ๑๘ . ๐๐ น . ค่าโดยสาร ๑๑๐ บาท
ตราด - แหลมงอบ (รถสองแถว) ระยะทาง ๓๐ กิโลเมตร รถออกจากตลาดสดเทศบาลเมืองตราด ตั้งแต่เวลา ๐๖ . ๐๐ น . ค่าโดยสาร ๒๐ บาท
ตราด - แหลมศอก (รถสองแถว) ระยะทาง ๒๘ กิโลเมตร รถออกจากตลาดสดเทศบาลเมืองตราด ตั้งแต่เวลา ๐๘ . ๐๐-๑๓.๐๐ น . ค่าโดยสาร ๓๕ บาท
ตราด - เขาสมิง - บ่อไร่ ระยะทาง ๕๓ กิโลเมตร รถออกบริเวณตลาดสดเทศบาลเมืองตราด ตั้งแต่เวลา ๐๘ . ๐๐-๑๒.๐๐ น . ค่าโดยสาร ๕๐ บาท
ตราด - เขาสมิง - แสนตุ้ง - ท่าจอด ระยะทาง ๒๘ กิโลเมตร รถออกตั้งแต่เวลา ๐๖ . ๐๐-๑๗.๓๐ น . ค่าโดยสาร ๒๕ บาท
โดยทั่วไปการเดินทางจากตัวเมืองตราดไปอำเภอต่าง ๆ มีรถออกจากตัวเมือง โดยจะมีรถสองแถวจอดที่บริเวณหลังตลาดเทศบาล และข้างธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกวัน และหลังจากเวลาประมาณ ๑๙ . ๐๐ น . นักท่องเที่ยวจะต้องเช่าเหมา ราคาแล้วแต่จะตกลงกันตามความเหมาะสม


สถานที่ท่องเที่ยว จ.ตราด
อำเภอเมือง
- วัดโยธานิมิต
- วัดบุปผาราม หรือเรียกอีกชื่อว่า วัดปลายคลอง
- วัดไผ่ล้อม
- วัดสะพานหิน
- วัดคีรีวิหาร เดิมชื่อ วัดท่าเลื่อน
- ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จ.ตราด
- อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง
- ท่าจอดรถ ติดริมถนน จ.ตราด
- หาดทรายงาม
- หาดมุกแก้ว และ หาดทรายแก้ว
- หาดลานทราย
- โบราณสถานจวนเรสิดังกัมปอร์ต
- แหลมกลัด
- ท่องเที่ยวเชิงเกษตรห้วงน้ำขาว
- แหลมศอก
อำเภอเขาสมิง
- วัดเมืองเก่าแสนตุ่ม และโบราณสถานเขาโต๊ะโมะ
- สวนสวรรค์ตะวันออก
อำเภอแหลมงอบ
- อนุสรณ์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง
- แหลมงอบ
- บ้านน้ำเชื่ยว
- อ่าวตาลคู่
- หาดทรายดำ
- เกาะปุย
อำเภอบ่อไร่
- น้ำตกเขาสลัดได
- ตลาดพลอย
- อุทยานแห่งชาติ น้ำตกคลองแก้ว
- อ่างเก็บน้ำทับทิมสยาม 01
อำเภอคลองใหญ่
- ตลาดชายแดนบ้านหาดเล็ก
- ศูนย์ราชการุณย์ สภากาชาดไทย เขาล้าน
- หาดบานชื่น หรือ หาดมะโร
- ส่วนที่แคบที่สุดในประเทศไทย
- หาดไม้รูด หรือ หาดสำราญ
- อ่าวตาลคู่
กิ่งอำเภอเกาะช้าง
- น้ำตกคลองพลู
- อ่าวคลองพร้าว แหลมไชยเชษฐ์
- เกาะเถาวัลย์
- เกาะหยวก
- หาดทรายขาว
- หาดไก่แบ้
- จุดชมวิวเกาะช้าง หาดไก่แบ้
- ท่าเรือเซ็นเตอร์พอย เฟอรี่
- ท่าเรือเฟอร์รี่เกาะช้าง
- ท่าเรือเกาะช้างเฟอร์รี่
- กิ่งอำเภอเกาะช้าง
- ทรี ท็อป แอดเวนเจอร์ พาร์ค
- หมู่เกาะช้าง
- เกาะช้างน้อย และ แหลมช้างน้อย
- เกาะง่าม
- เส้นทางท่องเที่ยวเกษตรบนเกาะช้าง
กิ่งอำเภอเกาะกูด
- เกาะกูด
- หมู่เกาะรัง
- หมู่เกาะระยั้ง
- เกาะขาม
- เกาะกระดาด
- เกาะหมาก
- เกาะง่าม
คำขวัญประจำจังหวัด
"เมืองเกาะครึ่งร้อย พลอยแดงค่าล้ำ ระกำแสนหวาน
หลังอานหมาดี ยุทธนาวีเกาะช้าง สุดทางบูรพา"
ที่ตั้งและอาณาเขต
จังหวัดตราดตั้งอยู่ภาคตะวันออกของประเทศไทยห่างจากกรุงเทพฯ 315 กม. มีเนื้อที่ประมาณ 2,819 ตร.กม. หรือประมาณ 1,761,875 ไร่ และเป็นพื้นที่ตามเขตปกครองทางทะเล ประมาณ 7,257 ตร.กม. มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้าน ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี และประเทศกัมพูชา
ทิศใต้ ติดต่อกับ อ่าวไทยและน่านน้ำทะเลประเทศกัมพูชา
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ประเทศกัมพูชา มีทิวเขาบรรทัดเป็นแนวกั้นเขตแดน
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี
ภูมิประเทศ
ลักษณะภูมิประเทศ มีอาณาบริเวณทั้งที่เป็นแผ่นดิน และพื้นน้ำ ประกอบด้วยเทือกเขาสูงอุดมด้วยป่าเบญจพรรณ และป่าดิบทางด้านตะวันออก ส่วนบริเวณหมู่เกาะต่างๆ ทางด้านใต้ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงเช่นเดียวกัน ตอนเหนือเป็นที่ราบบริเวณภูเขา ตอนกลางเป็นที่ราบลุ่มน้ำที่อุดมสมบูรณ์แล้วลาดลงเป็นที่ราบชายฝั่งทะเล สภาพภูมิประเทศที่ปรากฏจึงแบ่งเป็น 4 ลักษณะ
1. บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ ได้แก่ บริเวณที่ราบตอนกลาง และตะวันออกเหมาะสำหรับทำนาข้าว และปลูกผลไม้
2. ที่ราบบริเวณภูเขา ได้แก่ บริเวณที่ราบตอนบน และตอนกลาง บริเวณนี้มีพื้นที่กว้างขวางมากเนื่องจากมีภูเขากระจายอยู่ทั่วไป เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมแก่การทำสวนผลไม้ ยางพารา และปลูกสับปะรด
3. ที่สูงบริเวณภูเขา ได้แก่ บริเวณทางตอนกลางของอำเภอแหลมงอบ และเขตติดต่ออำเภอเขาสมิง นอกจากนี้ยังมีบริเวณที่เป็นเกาะต่างๆ ซึ่งส่วนมากมีสภาพเป็นพื้นที่ป่าไม้
4. ที่ราบต่ำชายฝั่งทะเล ได้แก่ บริเวณชายฝั่งทะเลเกือบตลอดแนว บริเวณพื้นที่แห่งนี้เป็นป่าชายเลนอย่างหนาแน่น และยังเป็นสถานที่เลี้ยงสัตว์น้ำบางชนิดด้วย
ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพอากาศไม่ร้อนจัดหรือหนาวจัดจนเกินไป เนื่องจากพื้นที่ของจังหวัดมีเกาะต่าง ๆ มากมาย ถึง 52 เกาะ จึงเป็นเสมือนกำแพงกั้นบังคลื่นลม พื้นที่จังหวัดตราดจึงไม่เคยได้รับความเสียหายจากลมพายุเลย ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้น มีฝนตกชุกเกือบตลอดปี แบ่งเป็น3ฤดู
ฤดูหนาว มีเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ อากาศไม่หนาวเเย็นมากนักอุณหภูมิเฉลี่ย 20 องศาเซลเซียส
ฤดูร้อน อยู่ระหว่างเดือนมีนาคม และเดือนเมษายน อุณหภูมิเฉลี่ย 34 องศาเซลเซียส
ฤดูฝน อยู่ในช่วงเดือน พฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม
สภาพภูมิอากาศโดยทั่วไป อากาศค่อนข้างร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 26 - 29 องศาเซลเซียส ในปี 2545อุณหภูมิสูงสุด 33.8 องศาเซลเซียส ต่ำสุด 21.8 องศาเซลเซียส มีฝนตกตลอดทั้งปี 220 วัน ปริมาณน้ำฝนวัดได้ 4,398.1 มิลลิเมตร
เขตการปกครอง
จังหวัดตราดแบ่งเขตการปกครองรายอำเภอ ดังนี้
1. เมือง
2. เขาสมิง
3.คลองใหญ่
4. แหลมงอบ
5. บ่อไร่
6. กิ่งอ.เกาะกูด
7. กิ่ง อ. เกาะช้าง
สภาพเศรษฐกิจ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด
สาขาการผลิต
ปี พ.ศ. 2547
ปี พ.ศ. 2548
ภาคเกษตร
เกษตรกรรม การล่าสัตว์ และการป่าไม้
การประมง
ภาคนอกเกษตร
การทำเหมืองแร่และเหมืองหิน
การผลิตอุตสาหกรรม
การไฟฟ้า ก๊าซ และการประปา
การก่อสร้าง
การขายส่ง การขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์ จักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน
โรงแรมและภัตตาคาร
การขนส่ง สถานที่เก็บสินค้า และการคมนาคม
ตัวกลางทางการเงิน
บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ การให้เช่า และบริการทางธุรกิจ
การบริหารราชการแผ่นดินและการป้องกันประเทศ รวมทั้งการประกันสังคมภาคบังคับ
การศึกษา
การบริการด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์
การให้บริการชุมชน สังคม และบริการส่วนบุคคลอื่น ๆ
ลูกจ้างในครัวเรือนส่วนบุคคล
ผลิตภัณฑ์จังหวัด (ล้านบาท)
การเพาะปลูกพืชของจังหวัดตราดในปี พ.ศ. 2548 พืชที่เกษตรกรเพาะปลูกมากที่สุด คือ ยางพารา โดยมีพื้นที่เพาะปลูก
สภาพสังคม
การศึกษา
ระดับการศึกษา
ปีการศึกษา 2549
จำนวนนักเรียน (คน)
จำนวนห้องเรียนตามแผน (ห้อง)
จำนวนห้องเรียนจัดจริง (ห้อง)
ระดับปฐมวัย
ระดับอนุบาล
ระดับประถมศึกษา
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ระดับ ปวช. ระดับ ปวส. / อนุปริญญา
ระดับอุดมศึกษา
จังหวัดมีผู้นับถือศาสนาพุทธมากที่สุด รองลงมา คือ ศาสนาอิสลามและคริสต์ โดยมี วัดพุทธในจังหวัดทั้งสิ้น 67 แห่ง มัสยิด 13 แห่ง และโบสถ์คริสต์ 1 แห่ง (สำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดตราด และ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดตราดการสาธารณสุข
จังหวัด ตราด มีจำนวนโรงพยาบาล แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ โรงพยาบาลของรัฐ ในจังหวัด ดังนี้
โรงพยาบาลของรัฐ 7 แห่ง
โรงพยาบาลของเอกชน 1 แห่ง
สถานีอนามัย 66 แห่ง
ศูนย์บริการสาธารณสุข 1 แห่ง
ใหญ่สมชื่อจริงๆ มีพื้นที่กว่า 268,125 ไร่ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะทะเลอ่าวไทยและใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากภูเก็ต เกาะช้างที่ผมพูดถึงคือ เกาะช้าง เกาะช้าง ตั้งอยู่ในเขตแหลมงอบ จ.ตราด นะครับ ไม่ใช่ เกาะช้างที่อยู่ทะเลอันดามัน จ.ระนอง (ระวังจะสับสน)
เกาะช้าง ประกอบด้วย 8 หมู่บ้าน คือ สลักเพชร สลักคอก เจ้กแบ้ บ้านด่านใหม่ คลองสน คลองพร้าว คลองนนทรี และบ้านบางเบ้า มีสถาที่ราชการ อำเภอ สถานีตำรวจ โรงพยาบาล และเป็นที่ตั้งอุทยานฯหมู่เกาะช้างอีกด้วย ภายในเกาะจะเป็นสวนยางพารา และผลไม้
เกาะช้าง
ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขาสูงมีผาหินสลับซับซ้อน ยอดเขาที่สูงที่สุด ได้แก่เขาสลักเพชร มีสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบเขา ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เกิดน้ำตก ลำธารหลายสาย ชายหาดสวย มีอยู่มากมาย ตามชายฝั่งตะวันตก ที่ดังๆ หน่อยก็ได้แก่ หาดทรายขาว หาดคลองพร้าว หาดไก่แบ้ ทั้งสามหาดมี รีสอร์ทตั้งอยู่เรียงรายริมหาดมากมาย ตั้งแต่ ราคา หลังละ 200 กว่า บาท ถึง 5,000 บาท ขึ้นไป นอกจากนี้บริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ยังมีเกาะเล็กๆ รายล้อม อันได้แก่ เกาะคลุ้ม เกาะเหลายา เกาะง่าม เกาะไม้ชี้ใหญ่ เกาะหวาย เกาะกระ เการัง เกาะมันนอก เกาะมันใน เกาะกระดาด เกาะหมาก เกาะขาม ฯลฯ ส่วนใหญ่ช่วงเทศกาล เกาะเล็กเกาะน้อยเหล่านี้มัก เสนอแต่แพคเก็จทัวร์ ปัจจุบันมีทัวร์รูปแบบต่างๆ มากมายนอกจากการเล่นน้ำทะเลเที่ยวเกาะ เช่น ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ขี่ช้างท่องไพร ล่องเรือ ตกปลา ไดหมึก หรือพักโฮมสเตย์กับหมู่บ้านชาวประมง
ด้วยความสมบูรณ์แห่งแหล่งท่องเที่ยว เราจึงสามารถท่องเที่ยวเกาะช้างได้ทุกฤดูกาล
:สถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำ
หาดทรายขาว
เป็นหาดที่มีระยะทางยาว 6 กม. มีบังกะโลตั้งอยู่หลายแห่ง มีถนนรอบเกาะตัดชิดหาดมากที่สุด สามารถเล่นน้ำได้ แต่บางช่วงของหาดจะต่างระดับ ลึกตื้นไม่เท่ากัน เลียบชายหาดมี โรงแรม รีสอร์ท ร้านค้า ร้านอาหาร ตั้งอยู่เรียงรายมากมาย ดูเหมือนว่าบริเวณนี้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าบริเวณอื่นๆ
แนะนำรีสอร์ท
Ban Thai Resort
Ban San Sabay
Alina Resort
Koh Chang Lagoon
Koh Chang Cliff Beach
Keereeta Resort & Spa
Koh Chang Kacha Resort & Spa
Mac Resort
Koh Chang Hillsid
หาดคลองพร้าว-แหลมไชยเชษฐ์
เป็นหาดทรายที่มีความยาวมาก ติดต่อกับหาดไก่แบ้หาดทราย บริเวณนี้มีความลาดมากสามารถเล่นน้ำได้ มีบังกะโลให้เช่าพักหลายแห่ง ห้องพักที่ได้มาตรฐาน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ไม่แพ้หาดทรายขาว หาดแห่งนี้นักท่องเที่ยวให้ความนิยมมาเล่นกิฬาทางน้ำ กิจกรรมชาตหาดเป็นจำนวนมาก ตอนเหนือสุดของอ่าวคลองพร้าว ติดต่อกับอ่าวไชยเชษฐ์ และแหลมไชยเชษฐ์ ซึ่งมีแหลมหิน มีทัศนียภาพสวยงาม แต่ไม่สามารถเล่นน้ำได้
สำหรับแหลมไชยเชษฐ์เป็นแหล่งที่ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง
แนะนำรีสอร์ท
หาดไก่แบ้
เป็นหาดทรายที่มีความลาดพอสมควร สามารถเล่นน้ำได้โดยไม่เป็นอันตราย ชายหาดมีลักษณะลาดลงทะเลทีละน้อย เกาะที่เห็นคือ เกาะจระเข้วางตัวเหนือท้องน้ำสีคราม นักท่องเที่ยวสามารถพายเรือคายัคไปได้ หาดไก่เบ้ มีบังกะโล ราคาประหยัดให้เช่าหลายแห่ง เป็นที่นิยมอาบแดดของชาวต่างชาติ โรงแรงระดับหรูที่นิยมคือ ซีวิวรีสอร์ทอยู่บนเนินปลายสุดของหาด
ศูนย์กลางหาดอยู่บริเวณ ไก่เบ้บีช มีร้านค้า ร้านอาหาร เช่ารถ และเป็นที่จอดคิดรถสองแถว บริเวณใกล้เคียงหาด เราจะมองเห็น เกาะมันใน(ตามรูป) เกาะมันนอก และเกาะหยวก
แนะนำรีสอร์ท
อ่าวใบลาน
เป็นหาดเงียบสงบ อยู่ระหว่างหาดไก่เบ้ และหมู่บ้านบางเบ้า เป็นหาดยาวประมาณ 12 กม. เล่นน้ำได้ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมมาอาบแดด เล่นน้ำตากลม กันที่นี่
แนะนำรีสอร์ท
Bhumiyama Resort
Dusit Princess Resort Koh Chang
หมู่บ้านประมงบางเบ้า
เป็นหมู่บ้านประมงที่น่าสนใจ บ้านพักอาศัยปลูกโดยปักเสาลงในทะเล มีสะพานเชื่อมติดต่อกันโดยตลอด ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพประมงดักปลาหมึก มีบังกะโลที่พักและแหล่งปะการังใต้น้ำ นักท่องเที่ยวนิยมมาทานอาหารทะเลสดๆ ราคาถูกที่นี่ นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นจุดที่อยู่ปลายเกาะช้าง ซึ่งการเดินทางไปชมหมู่เกาะต่างๆ จะทำได้สะดวกและประหยัดเวลาได้มาก มีโปรแกรม แพ็คเก็จทัวร์ ไป เกาะขาม เกาะเหลายา เกาะหมาก เกาะกระ เกาะรัง ฯลฯ
แนะนำรีสอร์ท
Nisa Cabana
Nirvana Resort
บ้านสลักเพชร-บ้านโรงถ่าน
เป็นสองชุมชนใหญ่ที่สุดบนเกาะช้าง ตั้งอยู่ติดกันทางตอนใต้ของเกาะ รอบอ่าวสลักเพชรซึ่งเป็นอ่าวใหญ่ที่สุดบนเกาะมีท่าเทียบเรือหลายแห่ง มีบังกะโล และร้านขายอาหารเล็กๆ สลับกันไป
แนะนำรีสอร์ท
Salakphet Resort
น้ำตกธารมะยม
อยู่หลังที่ทำการอุทยานฯ เดินผ่านสวนผลไม้เข้าไปประมาณ 500 เมตร เป็นน้ำตกขนาดกลางมี 3 ชั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5, 6, 7 และ 9 เคยเสด็จประพาสมายังน้ำตกนี้ นักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นน้ำตกที่สวยงาม
น้ำตกคลองพลู
อยู่ห่างจากอ่าวคลองพร้าว 3 กม. จากนั้นต้องเดินป่าอีกประมาณ 20 นาที เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มี 3 ชั้น บริเวณทางเข้าน้ำตกมีร้านค้า อาหารคอยบริการ
นอกจากนี้ยังมี น้ำตกคลองหนึ่ง น้ำตกคีรีเพชร น้ำตกคลองนนทรี น้ำตกพราวทะเล
เกาะต่างๆ
เกาะหวาย
อยู่ทางใต้ของเกาะช้าง ใกล้กับเกาะเหลายา ใช้เวลาเดินทางจากแหลมงอบประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง แนวชายหาดสวยงาม มีแนวปะการังขนาดใหญ่ และสมบูรณ์เหมาะกับการตกปลา อ่าวด้านเหนือของเกาะเป็นแหล่งที่มีแนวปะการังสมบูรณ์สูง ด้านตะวันตกของอ่าวใหญ่มีปะการังซึ่งส่วนมากเป็นปะการังก้อน ปะการังเขากวาง ปะการังแผ่น และปะการังพุ่ม นอกจากนั้นยังมีหอยมือเสืออีกด้วย บนเกาะมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย
การเดินทาง ไปเกาะหวายมีเรือออกจากที่ท่าเรือแหลมงอบ เวลา 15.00 น. ถึงเวลา 17.00 น. เที่ยวกลับ มีเรือออกจากท่าเรือเวลา 08.00 น. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง อัตราค่าโดยสารคนละ 130 บาท
อยู่ทางตอนใต้ของเกาะช้าง ประกอบด้วยเกาะเหลายาใน เกาะเหลายากลาง และเกาะเหลายานอก ใช้เวลาเดินทางจากแหลมงอบประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เป็นเกาะที่มีหาดทรายยาว น้ำทะเลใส และแนวปะการังสวยงาม บนเกาะมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย
เสน่ห์ที่นี่อยู่ที่ ธรรมชาติหาดทราย ที่สวยงาม บรรยากาศร่มรื่นเงียบสงบ น้ำทะเลใส ด้านหลังเกาะมีปะการังสวยงาม
อยู่ไม่ไกล จากเกาะขาม ถ้าไปเกาะขามพอมีเวลา ก็แวะที่นี่ได้ครับ เพราะอยู่ใกล้กัน (ตามรูปซ้ายมือ นี่ผมถ่ายจากเกาะหมาก เราจะเห็นเกาะขามอยู่ไกลๆ)
ถ้ามีเวลาครับ ไปนั่งรถอีแต๋น ชมฝูงกวางครับ โชว์เฟอร์ รถอีแต๋น เล่าให้ฟังว่าที่นี่ตอนแรกอามาปล่อยไม่กี่คู่ ปัจจุบัน สภาพเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์มาก ตอนนี้ มีหลายสิบตัวแล้วครับ (ตามรูป คือ กวางนะครับ ไม่ใช่สุนัข
โปรแกรม เที่ยวที่เกาะช้าง นี่ควรใช้เวลา อย่างน้อย 2 คืน กับอีก 3 วัน ครับ
ดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น ที่ เกาะกระ เกาะรัง ครับ พลาดไม่ได้ แต่ที่เขาจัดอันดับกัน ดูเหมือน อันดับ 1 ได้แก่ เกาะลอม(เกาะผี) เกาะนี้อยู้ใกล้ๆ เกาะขาม ห่างจากเกาะรังประมาณ 6 กม. ใช้เวลาครึ่ง ชม. เขาเล่ากันว่า ที่นี่มีปะการังเขากวาง ปะการังจาน ดอกไม้ทะเล ฟองน้ำ และกัลปังหา ที่หาดูได้ยาก
เหมาเรือ นั่งเที่ยวเกาะ ต่างๆ ตามรีสอร์ทต่างๆ จะมีบริการนี้ไว้ครับ (ปัจจุบัน ราคาอาจแพงหน่อย เพราะค่าน้ำมันแพงครับ) พลาดไม่ได้ เกาะขาม ที่นี่หาดสวยจริงๆ ครับ (ดาราหลายคนชอบมาถ่ายแบบที่นี่)
ถ้าพักที่เกาะช้างเลย ควรใช้เวลา 1 วัน เดินเที่ยวรอบเกาะครับ หรือนั่งรถสองแถวเที่ยวด้วยก็ได้ ที่นี่เขามี รถวิ่งรอบหาดฝั่งตะวันตกครับ หากพอมีเวลา ควรไปเที่ยวน้ำตก ธาระยม ครับ เขาว่าสวย แต่ผมเองก็ยังไม่ได้ไปหรอกครับ
ผมเองมีโอกาสไป แถวเกาะช้าง 3 ครั้งด้วยกัน ที่ชอบเห็นจะเป็น การดำน้ำ snorkel ดูปะการังน้ำตื้น แถว เกาะลอม เกาะกระ เกาะรัง เกาะขาม เกาะหวาย ผมแนะนำก่อนเดินทางไปดำน้ำ ควรถามผู้รู้ หรือคนขับเรือก็ได้ครับว่า ที่ที่จะไปดำน้ำนั้นเวลานั้นมีคลื่นใต้น้ำหรือเปล่า เพราะถ้ามี น้ำจะไม่ใส ดำน้ำดูปะการังที่ว่าสวย ก็ดูไม่รู้หรอกครับ
ถ้าชอบทะเลไม่อยากเดินทางไกล เกาะช้างดีครับ สะดวก ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 6 ชั่วโมง จากกรุงเทพ ถึง ตัวเมืองตราด ส่วนแถวเกาะเล็ก เกาะน้อยถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาล สงบดีครับควรไป
ดูรายละเอียด จังหวัดตราด คลิกที่นี่
เส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติผืนป่าเกาะช้าง
เส้นทางที่ 1 ไปเช้า-เย็นกลับ บ้านสลักเพชร-เขาแหลม
09.00 น.
คณะออกเดินทางถึงบ้านสลักเพชรพร้อมออกเดินทางท่องเที่ยวธรรมชาติ ระหว่างทางผ่านน้ำตกคีรีเพชร ถึงทับคูณชมความแปลกใหม่ของแนวเขาที่ไขว้กัน
12.00 น.
พักทานข้าวห่อมื้อเที่ยงบนยอดเขาแหลม จากนั้นมุ่งหน้าชมจุดชมวิวที่ผาฉิมพลี และผาเมฆสวรรค์ ท่านจะได้สัมผัสกับธรรมชาติทั้งพรรณไม้นานาชนิดที่หาดูได้ยากและขุดชมวิวที่สวยงามเมื่อมองลงจะเห็นอ่าวของเกาะช้าง
15.00 น.
เดินทางจากยอดเขาแหลม
17.30 น.
เดินทางกลับบ้านสลักเพชร
เส้นทางที่ 2 ไปเช้า-เย็นกลับ น้ำตกธารมะยม-น้ำตกคลองพลู
08.40 น.
ออกเดินทางจากหน่วยพิทักษ์อุทยานที่ธารมะยม ระหว่างทางจะได้สัมผัสพรรณไม้นานาชนิดและพันธุ์นกชนิดต่างๆ
12.00 น.
พักรับประทานข้าวห่อมื้อเที่ยงที่จุดชมวิวผาเรืองศรี จากนั้นมุ่งหน้าสู่จุดสูงสุดของน้ำตกคลองพลูไล่ระดับตั้งแต่ ชั้นที่4-ชั้นที่1
16.00 น.
เดินทางถึงหน่วยพิทักษ์น้ำตกคลองพลู
เส้นทางที่ 3 ไปเช้า-เย็นกลับ บ้านสลักเพชร-เขาสลักเพชร (เขาใหญ่)
09.00 น.
ออกเดินทางจากบ้านสลักเพชร ระหว่างทางผ่านน้ำตกและผ่านเขาในมีต้นไทร ซึ่งป็นที่อยู่ของนกจำนวนมาก จากนั้นถึงผาพังสามารถมองวิวของเกาะช้างที่สวยงาม และเห็นร่องรอยของหมูป่ากินดินที่โป่งหมู
12.00 น.
พักทานข้าวห่อมื้อเที่ยงที่สันเขาใหญ่ จากนั้นมุ่งหน้าชมวิวที่หุบลานเฟริ์น ที่ผาเขาใหญ่ผางวงช้าง ท่านจะได้พบต้นเฟิร์นจำนวนมาก จากนั้นสู่ผารับลม และเดินทางกลับผ่านสันเขาใหญ่ และผ่านเนินนกเงือกท่านจะได้ชมนกเงือกขนาดเล็กบินเข้าโพรงไม้ เป็นบรรยากาศที่หาดูได้ยาก เดินทางกลับสู่บ้านสลักเพชร


































































































































































































































































































































































การเมือง





































































การเมือง
การขับไล่ทักษิณ ชินวัตร จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุการณ์ในประเทศไทยที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2547 ในช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ 1 เมื่อมีการรวมตัวของกลุ่มคนในนาม กลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ และมีการชุมนุมปราศรัยเพื่อขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2547 เป็นครั้งแรก และเริ่มขยายเป็นวงกว้างขึ้นเมื่อถึงปลายปี พ.ศ. 2548 ส่วนหนึ่งจากการนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี และขยายตัวในวงกว้างไปยังบุคคลในหลายสาขาอาชีพในเวลาต่อมา
ในการรณรงค์ขับไล่นี้ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ในกลุ่มที่แสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีลาออกก็มีความเห็นที่แตกต่างกันเป็นหลาย ๆ กลุ่ม ในเรื่องกระบวนการและประเด็นในการขับไล่ ส่วนในกลุ่มที่สนับสนุน ซึ่งประกอบด้วยประชาชนจำนวนไม่น้อย รวมไปถึง
กลุ่มคาราวานคนจน และขบวนรถอีแต๋นเดินทางมาจากต่างจังหวัด ก็ได้รวมตัวชุมนุมเพื่อสนับสนุนให้นายทักษิณ ชินวัตรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยปักหลักอยู่ที่สวนจตุจักร และตามจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย
ผลจาก
การเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ที่อดีตพรรคฝ่ายค้าน 3 พรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชนและพรรคชาติไทยไม่ได้ร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทย ซึ่ง พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรค ยังคงได้รับคะแนนเสียงข้างมาก (56.45% ในผลการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ[ต้องการอ้างอิง]) แต่ในหลายพื้นที่ได้เกิดปรากฏการณ์ "ไม่เอาทักษิณ" ด้วยการที่ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยได้คะแนนน้อยกว่าผู้ไม่ออกเสียงและบัตรเสีย แต่ในท้ายที่สุดการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้เป็นโมฆะ และได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549
ในวันเสาร์ที่
2 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้มีกลุ่มเครือข่ายแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และอาจารย์มหาวิทยาลัย 43 องค์กร 11 มหาวิทยาลัย ล่าชื่อกว่า 92 คน ปลุกกระแส "ต้านทักษิณ" และออกแถลงการณ์ให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ยุติบทบาทจากการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีทันที ซึ่งในการเสวนาโต๊ะกลมเรื่องการร่วมกันแก้ไขวิกฤตปัญหาของบ้านเมือง ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นการรวมตัวกันครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของแกนนำเครือข่ายการต่อต้าน
การขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สิ้นสุดลง ในวันที่
19 กันยายน พ.ศ. 2549 หลังจากการก่อรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นำโดย พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ก่อนวันที่จะมีการชุมนุมอย่างยืดเยื้อของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเครือข่ายในวันที่ 20 กันยายน
เนื้อหา
1 ประเด็นในการขับไล่
2 กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณ และไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมขับไล่
3 ลำดับเหตุการณ์
4 ลักษณะกิจกรรมการต่อต้าน
5 องค์กรและกลุ่มบุคคลที่ออกมาร่วมขับไล่
6 บุคคลมีชื่อเสียงที่ออกมาร่วมขับไล่
6.1 ศิลปินเพลง
6.2 นักวิชาการ
6.3 ดารานักแสดง
6.4 นักคิด นักเขียน
7 การเคลื่อนไหวของสังคมออนไลน์
8 ดูเพิ่ม
8.1 รวมวีดีโอการปราศรัย
9 อ้างอิง

ประเด็นในการขับไล่
การต่อต้าน
ระบอบทักษิณ ซึ่งนายแก้วสรร อติโพธิ ได้ให้คำจำกัดความไว้ 4 ข้อ[1] ดังนี้
ยักยอกรัฐธรรมนูญ ยึดครองประชาธิปไตย
หลงใหลทุนนิยมใหม่จนลืมประเทศชาติ
โกงกินชาติบ้านเมือง
ทำให้บ้านเมืองสิ้นความสงบสุข
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะ
การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สำหรับกรณีของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เช่น เรื่องการกระจายหุ้นที่ไม่เป็นธรรม ราคาขายหุ้นที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก สัดส่วนการถือหุ้นของรัฐที่ลดลงมาก การถือหุ้นผ่านกองทุนของต่างชาติ กำไรจากการขายก๊าซให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในราคาสูง
การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนั้น มีคำสั่งจาก
ศาลปกครองว่า พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2548 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การแก้สัมปทาน
สถานีโทรทัศน์ไอทีวี
การทุจริตในโครงการ
สนามบินสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะเรื่องเครื่องสแกนสัมภาระซีทีเอกซ์
การแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
สมเด็จพระสังฆราช
การใช้อำนาจรัฐแทรกแซงและคุกคามสื่อ
การทุจริตข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่เกี่ยวข้องกับบุตรสาวของนายกฯ และ นายวรเดช จันทรศร
การยุบสภาอย่างไม่สมควร
ประเด็นที่กลุ่มเครือข่ายประชาสังคมหยุดระบอบทักษิณใช้อ้างเป็นเหตุผลในการขับไล่
[3]
ผลประโยชน์ทับซ้อน
ปกปิดข้อมูลข่าวสาร
ทำผิดจริยธรรม
นโยบายสร้างปัญหา
รวยเพราะผูกขาดกีดกัน
เอฟทีเอแลกผลประโยชน์
สถานการณ์
ความไม่สงบสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้
วาทะปากพาแตกแยก
แปรรูปผิด ไม่รับผิด
คนรอบข้างยังชิงลาออก
ประชานิยมสร้างปัญหา
นโยบายการค้าเสรีกับต่างประเทศ
[
แก้] กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณ และไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมขับไล่

กลุ่มคนผ่านฟ้า เว็บไซต์ผู้สนับสนุนและให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้ง
กลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม นำโดยกลุ่มคาราวานคนจนเพื่อประชาธิปไตย ที่เคลื่อนพลโดยรถอีแต๋นและเดินเท้ามาจากหลายจังหวัด โดยเฉพาะ
ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาปักหลักที่บริเวณสวนจตุจักร โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ซึ่งได้มีการสมทบกับ ร.ต. ฉลาด วรฉัตร นักเคลื่อนไหวที่มีชื่อเสียงเรื่องการอดอาหารประท้วงในครั้งนี้ด้วย ร.ต. ฉลาด วรฉัตร กล่าวว่าจะทำการแขวนคอตายหากไม่มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนเกิดขึ้น[ต้องการอ้างอิง]
กลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มนี้ และกลุ่มอื่น ๆ ที่สนับสนุนแนวทางการดำเนินการทางการเมือง ตามแบบที่ พ.ต.ท. ด.ร. ทักษิณ ชินวัตร ได้กระทำไป มีหลายกลุ่มเช่นกัน เช่น กลุ่มผู้มาให้กำลังใจมอบดอกกุหลาบแดงให้ในหลายวาระ รวมทั้งการรวมพลปราศรัยครั้งใหญ่ที่สนามหลวงในวันที่
24 มีนาคม พ.ศ. 2549
กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณ เช่น
อ.
สุนีย์ สินธุเดชะ (อาจารย์แม่) อธิการบดีมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต
พ.ต.ท.
สำเนียง ลือเจียงคำ รองผู้กำกับสืบสวนสอบสวน สภ.อ.เมือง อ.เมือง จ.ยโสธร ผู้ฟ้องร้องนายสนธิและนางสาวสโรชา[4]
กลุ่มผู้ให้บริการแทกซี่/กลุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
กลุ่มชาวบ้านจากจังหวัดในภาคเหนือ
[5]
กลุ่มนักธุรกิจ ใน
เครือซีพี
กลุ่มรักเมืองไทย-ให้กำลังใจนายก
[1] (รวมตัวกันจากห้องราชดำเนิน พันทิป.คอม — แต่ไม่ใช่ตัวแทนของห้องราชดำเนิน)
กลุ่มคนผ่านฟ้า
[2]
กลุ่มวายุภักษ์ รักษ์แผ่นดิน
[3]
หมอดูอีที ชาวพม่า
คลื่นวิทยุ Wisdom Radio FM 105 Mhz, FM.94.25 Mhz โดยเฉพาะช่วง รายการ "เปิดแฟ้มความคิด" โดย นายมังกรดำ หรือ
นายธรชัย ศักดิ์มังกร และปกภูมิ เดชดีหนูแก้ว ซึ่งต่อมาได้ถูกปิดรายการลงหลังจากมีกรณีหมิ่นศาล[6]
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รองผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาเอเปค (ฝ่ายสัมมนาและเผยแพร่) เจ้าของแนวความคิด "ไม่เลือกทักษิณ หรือจะเลือกทุนนิยมล้าหลัง?"[7]
นายเทพพนม ศิริวิทยารักษ์ ประธานสมัชชาภาคอีสานพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และในฐานะแกนนำ ผู้ประสานนำตัว 16 ผู้สนับสนุนคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในกรณีเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล[8]
ผศ. เสถียร วิพรมหา อาจารย์จากมหามกุฎราชวิทยาลัย เลขาธิการเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และแกนนำ ผู้สนับสนุนคณะกรรมการการเลือกตั้งอีก 14 คน ที่ต้องโทษกรณีหมิ่นศาล
นาย
ธนา เบญจาธิกุล ทนายความ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร พร้อมกลุ่มบุคคลผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้ง 12 คน ซึ่งมีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำละเมิดอำนาจศาล ที่เข้ามาก่อความวุ่นวายภายในศาลในระหว่างการพิจารณาคดีอดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง 3 คน[9]
นายพันธุ์ศักดิ์ ซาบุ ตัวแทนองค์กร
ประชาชนรักความสงบ ผู้สนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณ และขัดแย้งกับกลุ่มเครือข่ายประชาสังคมหยุดระบอบทักษิณ ในกรณีพิพาท เมื่อวันที่ 19-20 สิงหาคม จากกรณีที่ พ.ต.ท. ทักษิณถูกต่อต้านที่สยามพารากอน
นายมงคล เสมอภาพ แกนนำ กลุ่มรักสันติสามัคคีเพื่อประชาธิปไตย ราว 100 คน เป็นกลุ่มที่จะชุมนุมให้กำลังใจกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทุกวันตามสถานที่สำคัญทั่วกรุงเทพมหานคร
[10]
ฯลฯ
นอกจากนี้ได้มีบางส่วนของกลุ่มคาราวานคนจนมาปิดล้อมสำนักงาน
หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ในเครือเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป เนื่องจากตีพิมพ์ข่าวไม่เหมาะสม เกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งหมิ่นเบื้องสูง โดยอ้างอิงถึงคลิปวิดีโอการให้สัมภาษณ์[11] จากการออกมาปฏิเสธของหนังสือพิมพ์คมชัดลึก จึงทำให้เหตุการณ์บานปลายออกไปจนถึงขั้นมีเหตุการณ์ชุลมุน และมีการสันนิษฐานว่ากลุ่มเดียวกันนี้ เป็นขบวนรถมอเตอร์ไซด์หลายร้อยคันไปชุมนุมที่บ้านพระอาทิตย์ สำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการในวันเดียวกัน แต่การชุลมุนก็จบลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้นโดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด
สำหรับผู้ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของกลุ่มต่าง ๆ เห็นพ้องว่า การที่มีการชุมนุมขนาดใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งยาวนานต่อเนื่องกลางกรุงเทพมหานครนั้น เป็นการสร้างปัญหาขึ้นมากมาย เช่น
ปัญหาจราจรทั้งยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งเป็นเหตุให้เศรษฐกิจและการลงทุนจากต่างประเทศหยุดชะงัก และเศรษฐกิจภายในประเทศพังทลาย
[
แก้] ลำดับเหตุการณ์

ภาพการชุมนุมที่หน้าสยามพารากอน
เมื่อกลางปี
พ.ศ. 2547 มีการรวมตัวของ กลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ โดยมีแกนนำประกอบด้วย นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ดร.อัมรินทร์ คอมันตร์ พลโทเจริญศักดิ์ เที่ยงธรรม นายสมาน ศรีงาม นายประพันธ์ คูณมี นายเพียร ยงหนู ได้มีการชุมนุมปราศรัยที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2547[12] และมีการจัดรายการวิทยุ ทางคลื่นวิทยุชุมชน FM 92.25 MHz ของนายประชัย และเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ของนายเอกยุทธ
การวิพากษ์วิจารณ์ผลงาน และการทุจริตในรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เริ่มขยายสู่วงกว้างขึ้น ตั้งแต่กลางปี
พ.ศ. 2548 เมื่อรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล เริ่มวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยเสนอความเห็นในเชิงสนับสนุนรัฐบาลมาตลอด จุดเปลี่ยนของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ อยู่ที่การออกอากาศในคืนวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2548 เมื่อนายสนธิได้อ่านบทความเรื่อง ลูกแกะหลงทาง[ต้องการอ้างอิง] บทความซึ่งมีผู้โพสต์เข้าไปเข้าไปในเว็บไซต์ผู้จัดการ ออกอากาศทางโทรทัศน์ ส่งผลให้รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ถูกถอดออกจากผังรายการอย่างกระทันหัน โดยนายธงทอง จันทรางศุ บอร์ด อสมท. ให้เหตุผลว่าเป็นการจาบจ้วงสถาบัน
รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ จึงปรับรูปแบบเป็นรายการ
เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร จัดขึ้นนอกสถานที่ ทุกเย็นวันศุกร์ ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และสื่ออื่น ๆ ในเครือผู้จัดการ ต่อมาเมื่อมีผู้ชมรายการมากขึ้นจึงขยับขยายมาจัดที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และย้ายไปจัดที่อาคารลีลาศ สวนลุมพินี
หลังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 14 ในคืนวันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2549 มีการเปิดตัวผู้สนับสนุนคือ
พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ รวมไปถึงสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายท่าน มีการเดินเท้าเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมจากสวนลุมพินีมาที่ทำเนียบรัฐบาล โดยไม่มีการปิดล้อม ก่อนสลายตัวกลับ แต่ยังมีผู้ชุมนุมบางส่วนยังชุมนุมต่อและถูกใช้กำลังสลายตัวในเช้าวันรุ่งขึ้น[14] เหตุการณ์นี้เป็นเหตุให้รัฐบาลเริ่มเพ่งเล็งและมีมาตรการเด็ดขาดขึ้น

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ขณะอ่านฎีกาทูลเกล้าฯ ในการชุมนุมวันที่ 4 กุมภาพันธ์ โดยมี น.ส.สโรชา พรอุมศักดิ์ ยืนอยู่ข้างหลัง
การชุมนุมครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 นัดชุมนุมที่สนามหลวง แต่สนามหลวงถูกจองใช้ จึงย้ายมาจัดที่บริเวณ
ลานพระบรมรูปทรงม้า ถนนราชดำเนินนอก จากด้านหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมถึงสี่แยกสวนมิสกวัน การชุมนุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการชุมนุมยืดเยื้อข้ามคืน มีการถวายฎีกาแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านทางพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และสำนักราชเลขาธิการ โดยมี พล.ร.ท. พะจุณณ์ ตามประทีป เป็นตัวแทนรับ และยื่นหนังสือเรียกร้องให้ทหารแสดงจุดยืนต่อ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทองทัพบก ในครั้งนี้มีการเปิดตัวกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นแกนนำในการชุมนุมครั้งต่อ ๆ ไป นอกจากนี้การชุมนุมครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ใช้ชื่อว่า "การชุมนุมกู้ชาติ" การชุมนุมครั้งนี้มีผู้มาชุมนุมมากกว่าทุกครั้งเนื่องจากความไม่พอใจในข่าวการขายหุ้นทั้งหมดในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของครอบครัวนายกรัฐมนตรีให้กับเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์โดยไม่ต้องเสียภาษีโดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย[15]

การชุมนุมวันที่ 11 กุมภาพันธ์
การชุมนุมครั้งถัดมาจัดที่
ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2549 ใช้ชื่อว่า "ปิดบัญชีทักษิณ" มีผู้ร่วมชุมนุมหลากหลายขึ้นเนื่องจากเปลี่ยนผู้นำการชุมนุม พร้อมได้เปิดตัว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นครั้งแรก โดยมีแกนนำทั้งหมด 5 คน คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ในครั้งนี้รัฐบาลได้พยายามขัดขวางเนื่องจากอ้างว่ามีความไม่เหมาะสมและไม่สมควร เพราะสถานที่ที่นี้เป็นเขตพระราชฐาน จึงมีการนัดชุมนุมใหญ่ครั้งต่อไปที่สนามหลวงในวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549 โดยจะเป็นการชุมนุมยืดเยื้อไม่มีกำหนด จนกว่านายกรัฐมนตรีจะลาออกจากตำแหน่ง
การชุมนุมที่สนามหลวงวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549 ได้รับการสนับสนุนจาก
พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ว่าจะนำเครือข่ายกองทัพธรรมและสันติอโศกเข้าร่วมชุมนุม ทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงเชิญพลตรีจำลองร่วมเป็นหนึ่งในแกนนำด้วย การประกาศตัวของพลตรีจำลองเป็นสัญญาณว่าการชุมนุมนี้จะยืดเยื้อยาวนาน และสร้างความกังวลให้กับพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร[16] จนประกาศยุบสภาในวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 และได้มีการกำหนดเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน 2549

การเคลื่อนย้ายที่ชุมนุมจากสนามหลวงไปหน้าทำเนียบรัฐบาล เช้าวันที่ 14 มีนาคม
มีการชุมนุมยืดเยื้อที่สนามหลวงใช้ชื่อว่า "เอาประเทศไทยของเราคืนมา" สลับกับการเคลื่อนขบวนใหญ่เพื่อกดดันสองครั้ง ในคืนวันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2549 จากสนามหลวงมาที่
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และเช้าวันอังคารที่ 14 มีนาคม 2549 จากสนามหลวงมาที่ทำเนียบรัฐบาลระหว่างมีการประชุมคณะรัฐมนตรี และย้ายการชุมนุมมาปักหลักบริเวณสี่แยกสะพานมัฆวานรังสรรค์สลับกับสี่แยกสวนมิสกวันและถนนพิษณุโลกช่วงข้างทำเนียบรัฐบาล ประมาณจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมในครั้งนี้ราวแสนคน[17]
มีการเคลื่อนขบวนย่อยไปชุมนุมที่สถานที่ต่าง ๆ เช่น
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง สถานทูตสิงคโปร์ ถนนสีลม การชุมนุมครั้งสำคัญสืบเนื่องจาก การเคลื่อนขบวนจากสนามกีฬาแห่งชาติ มาบริเวณสยามสแควร์และถนนสุขุมวิท ในวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2549 จากนั้นแกนนำได้คิดที่จะจัดการชุมนุมใหญ่ ณ บริเวณหน้าศูนย์การค้าสยามพารากอน ในวันพุธที่ 29 มีนาคม 2549 การชุมนุมครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกของการชุมนุมทางการเมืองขนาดใหญ่กลางศูนย์ธุรกิจหลักประเทศ และเป็นการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยขนาดใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ ที่ไม่เสียเลือดเสียเนื้อ เพราะรัฐบาลให้เสรีภาพในการชุมนุมอย่างเสรีและไม่มีการปะทะกันใดๆ ทั้งสิ้น[ต้องการอ้างอิง]

บรรยากาศภายนอกเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร
หลังจากได้ผ่านพ้นการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 แล้ว กลุ่มผู้ที่ไม่ยอมรับในผลการลงคะแนนเสียงตามระบอบประชาธิปไตยและพยายามผลักดันให้ยกเลิกการเลือกตั้งครั้งนั้น ได้มีการร้องต่อศาลยุติธรรม ซึ่งต่อมาได้มีการตัดสินให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายนเป็นโมฆะ นับเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นผลให้การเคลื่อนไหวต่อต้านนายกรัฐมนตรีรุนแรงมากขึ้น ระหว่างเดือนมิถุนายน 2549 กิจกรรมต่อต้านนายกรัฐมนตรีเบาบางลงชั่วคราว เนื่องจากเป็นช่วงเดือนที่มี
งานเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และในเดือนกรกฎาคม จึงมีการชุมนุม อภิปราย และสัมนาขนาดย่อย ๆ อีกหลายครั้งโดยองค์การและสถาบันบางส่วนต่าง ๆ นายสนธิและนางสาวสโรชาได้กลับมาจัดการชุมนุมที่สวนลุมในอีกรูปแบบหนึ่งเรียกว่าเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร "คอนเสิร์ตการเมือง" ในระหว่างนั้นมีคดีที่นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา อันนำมาซึ่งคำพิพากษาให้คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องโทษจำคุก และออกจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม[18] จนมีการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้งใหม่ และคาดว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ได้ในวันที่ 15 ตุลาคม 2549
ในระหว่างที่ศาลได้มีคำตัดสินในกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้นได้มีกลุ่มผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีหลายกลุ่มได้มาชุมนุมให้กำลังใจ จนเกิดกระทบกระทั่งกันกับกลุ่มฝ่ายตรงข้าม
[19] และต่อมาศาลได้มีคำพิพากษาให้ผู้ที่เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายรับโทษในกรณีหมิ่นศาล ผู้ดำเนินรายการสถานีวิทยุและเว็บไซต์ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์คำสั่งศาลได้ปิดตัวลง
ในวันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปเปิดงานในฐานะประธานเปิดตัวหนังสือและซีดีที่ระลึก
นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ได้มีเสียงประชาชนกลุ่มเล็ก ๆ จำนวนประมาณ 20 - 30 คน ได้ตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า "นายกฯ....คนเลว...ออกไป" จนในที่สุดเกิดเหตุการณ์ชุลมุนจากทั้งกลุ่มสนับสนุนและต่อต้านนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงเชิญตัวให้ออกไปจากสถานที่[20], [21]
หลังจากเหตุการณ์ที่สยามพารากอน ในวันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 2549 ได้มีการประชุมต่อเนื่องจากเหตุการณ์ทำร้ายกลุ่มผู้ต่อต้าน โดย
ดร. สังศิต พิริยะรังสรรค์ แกนนำเครือข่ายประชาสังคม หยุดระบอบทักษิณ ร่วมกับสมาชิกเครือข่ายจำนวนหนึ่ง ได้จัดแถลงข่าว ที่อาคารสำนักวิทยบริการ ชั้น 8 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม และได้ให้ประชาชน 6 คน ที่ถูกกลุ่มสนับสนุนนายกรัฐมนตรีรุมทำร้าย ขณะเกิดเหตุการเปิดงานเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนมาแสดงตัว ขณะที่ประชุม ที่ลานข้างล่างหน้าอาคารได้มีกลุ่มผู้สนับสนับสนุนนายกรัฐมนตรีใช้ชื่อว่ากลุ่มตัวแทนองค์กรประชาชนรักความสงบ ราว 50-60 คนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนถือป้ายผ้าและโปสเตอร์ด้วยความสงบเพื่อต่อต้าน ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ และมีการปะทะคารมกัน
เหตุการณ์ยังคงไม่คลี่คลาย มาจนถึงวันที่ 21 สิงหาคม ได้เกิดเหตุในลักษณะเดียวกันอีกครั้ง ทั้งที่มีการวางกำลังตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบอารักขานายกรัฐมนตรี ขณะไปเปิดงานอุทยานเรียนรู้ -
ดิจิตอล ทีเคปาร์ค ที่ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ เพราะเกรงว่าอาจถูกลอบฆ่าตามที่ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รายงานมาก่อนหน้า หรือกลัวถูกตะโกนด่าซ้ำรอยที่สยามพารากอน โดยได้มีการปะทะคารมกันของฝ่ายผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีและฝ่ายต่อต้าน จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและชายฉกรรจ์ในชุดสีเข้มไม่ทราบสังกัดทำร้ายร่างกาย เป็นชนวนให้เกิดการปะทะกันรุนแรงขึ้น ผลคือมีการบาดเจ็บกันหลายคน ทั้งกลุ่มผู้ที่ต่อต้านนายกรัฐมนตรีและกลุ่มที่สนับสนุน บางส่วนของผู้ต่อต้านนายกฯยังถูกตำรวจจับในข้อหารบกวนความสงบเนื่องจากเป็นต้นเหตุการก่อให้เกิดเสียงเอะอะรำคาญ เหตุการณ์ทั้งสองถูกประนามว่านายกรัฐมนตรีและฝ่ายต่อต้านนายกรัฐมนตรีน่าจะต้องมีส่วนรับผิดชอบร่วมกันทั้งสองฝ่ายเพราะเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาท แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใดนอกจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แล้ว ยังมีเหตุการณ์ต่อต้านนายทักษิณโดยกลุ่มต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ในหลายพื้นที่ รวมทั้งการรวมตัวครั้งใหญ่ เมื่อวันเสาร์ที่ 2 กันยายน 2549 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีกลุ่มที่ใช้ชื่อว่าเครือข่ายแพทย์ เภสัช พยาบาล อาจารย์มหาวิทยาลัย 43 องค์กร 11 มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกลุ่มคนบางส่วนของหน่วยงานที่อ้างเหล่านั้น ทำการล่าชื่อ ปลุกกระแส ต้าน"ทักษิณ" ออกแถลงการณ์ให้ยุติบทบาทนายกรัฐมนตรีในทันที มีการเสวนาโต๊ะกลมเรื่องการร่วมกันแก้ไขวิกฤตปัญหาของบ้านเมือง เน้นการต่อต้านทักษิณตามแนวทางอหิงสาด้วยกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งการถวายสัตย์ปฏิญญาในฐานะข้าราชการต่อพระบรมรูป 2 รัชกาลที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การขับไล่ทักษิณ ชินวัตร สิ้นสุดลง ในวันอังคารที่ 19 กันยายน 2549 หลังการเกิด
รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ก่อนจะมีการชุมนุมอย่างยืดเยื้อของกลุ่มพันธมิตรฯและเครือข่าย โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ประกาศยุติการชุมนุมทันที ทั้งที่ได้มีการนัดหมายกันในวันพุธที่ 20 กันยายน 2549 เวลา 15.00 น. ที่บริเวณลานพระรูป เนื่องจากมีการทำรัฐประหารเป็นที่เรียบร้อยแล้วและอาจจะเป็นการไม่ปลอดภัย
[
แก้] ลักษณะกิจกรรมการต่อต้าน

งิ้วการเมืองธรรมศาสตร์กู้ชาติ

รศ.ดร. ไชยันต์ ไชยพร แสดงอารยะขัดขืน ฉีกบัตรเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมกับ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมสร้างและเผยแพร่ทฤษฎี "ปฏิณญาฟินแลนด์" และกล่าวหาว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ได้สมคบคิดกับอดีตผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพื่อล้มล้างราชวงศ์จักร ยึดอำนาจการปกครองราชอาณาจักรไทยและก่อตั้งรัฐคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตามผู้ร่วมสร้างทฤษฎีไม่เคยแสดงหลักฐานแต่อย่างใดเพื่อพิสูจน์ว่าทฤษฎีสมคบคิดนี้มีจริง ส่วนตัว พ.ต.ท. ทักษิณ นั้นได้ปฏิเสธเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหลังจากที่ปฏิวัติยึดอำนาจไว้ได้ ก็ไม่ได้ตรวจสอบหรือสอบสวนรายละเอียดของแผนฟินแลนด์แต่อย่างใด[25][26][27]
การชุมนุมในแต่ละครั้งของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีกิจกรรมต่าง ๆ ที่เสริมบรรยากาศในการชุมนุม เช่น การแสดงดนตรี การแสดง
งิ้วธรรมศาสตร์กู้ชาติ การละเล่นและบรรเลงเพลงพื้นบ้านภาคต่าง ๆ ละครศาลจำลอง การนำบุคคลต่าง ๆ และแขกรับเชิญนอกเหนือจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพือประชาธิปไตยมาสัมภาษณ์ รายการเสียงจากประชาชน (การพูดปราศรัยสั้น ๆ ของประชาชนโดยทั่วไปที่อาสาขึ้นเวที) กิจกรรมเกมส์ต่อต้านระบอบทักษิณ และกิจกรรมระดมทุน รับบริจาคและขายของที่ระลึก เป็นต้น ของที่ระลึกที่เป็นที่นิยมในการประชุม ได้แก่ ผ้าพันคอและผ้าโพกศีรษะสีเหลือง/ขาวที่สกรีนข้อความ "กู้ชาติ" ผ้าผูกข้อมือ เสื้อยืด เอกสารแผ่นพับ โปสเตอร์ แฮนด์บิลล์ ซีดีเพลง บันทึกรายการในแต่ละครั้ง และอื่น ๆ ที่ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละกลุ่ม บทเพลงยอดนิยมที่ผู้แต่งเพลงนิรนามส่งมาให้กลุ่มผู้ชุมนุมใช้เปิด มีหลายบทเพลง เป็นบทเพลงที่บรรยายความไม่ชอบธรรมของระบอบทักษิณ และมีเนื้อหารุนแรง เพลงหนึ่งที่มีชื่อเสียงคือเพลง ไอ้หน้าเหลี่ยม[ต้องการอ้างอิง]
ครั้งหนึ่งของการเดินทางช่วยผู้สมัครของพรรคไทยรักไทยหาเสียงของรักษาการณ์นายกรัฐมนตรีในพื้นที่กรุงเทพมหานคร บริเวณ
ซอยละลายทรัพย์ ถนนสีลม ได้มีปรากฏการณ์การต่อต้านทางสังคมเกิดขึ้น โดยมีกลุ่มแม่ค้าในพื้นที่ อาทิ เจ๊ไก่ ออกมาตะโกนขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ และกลุ่มผู้ติดตาม ด้วยวลีที่ใช้ในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่ประชาธิปไตย[28]
กิจกรรมการต่อต้านระบอบทักษิณ ยังรวมไปถึงการรณรงค์เรื่อง
อหิงสาและอารยะขัดขืน และนำไปสู่รูปแบบการต่อต้านในภาคประชาชน ในการเลือกตั้งที่กลุ่มผู้ต่อต้านอ้างว่า "ไม่ชอบธรรม" เริ่มต้นจากการรณรงค์ให้ไม่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในไทย พ.ศ. 2549 ต่อมาเป็นการให้ออกมาเลือกตั้งแต่กาในช่อง "ไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใคร" การกาด้วยปากกาแดง นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวจากปัจเจกชน เช่น การฉีกบัตรลงคะแนน ที่นำโดย รศ. ดร. ไชยันต์ ไชยพร ซึ่งนายแก้วสรร อติโพธิได้กล่าวว่าการฉีกบัตรลงคะแนนเป็นการกระทำที่ไม่ผิดกฎหมาย หรือการกรีดเลือกที่ปลายนิ้วเพื่อกาบัตรลงคะแนนโดยนายยศศักดิ์ โกศัยกานนท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
ส่วนในกรณี นพ. เกรียงศักดิ์ หลิวจันทร์พัฒนา อาจารย์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ แกนนำกลุ่มพันธมิตรกู้ชาติ กู้ประชาธิปไตย จังหวัดสงขลา และชาวบ้านอีก 6 คน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีกระทำความผิดฐานทำลายบัตรเลือกตั้งและทำให้เสียทรัพย์ กรณีฉีกบัตรเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2549 ศาลได้พิจารณาคดีจนเสร็จสิ้นแล้ว และได้มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยระบุว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 เมษายน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่นเดียวกับกรณีที่จังหวัดตรัง ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง นายทศพร กาญจนะภมรพัฒน์ อดีตผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางหมาก อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เมื่อปี 2548 และหนึ่งในสมาชิกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จำเลยในคดีฉีกบัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 2 ใบ ทั้งในระบบเขต และระบบบัญชีรายชื่อ[29]
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ จากหลายกลุ่มองค์กร เช่น[
ต้องการอ้างอิง]
กิจกรรมต่อต้านทางสังคม ที่เสนอโดย
เครือข่ายประชาสังคม หยุดระบอบทักษิณ
กิจกรรมสัมมนา เวทีอภิปรายในสถานศึกษา หรือถ่ายทอดทางสถานีวิทยุ 92.25, 97.75 และเอเอสทีวี
การจัดทอล์คโชว์ เช่น แผนลอบสังหารท่านผู้นำของผม ที่ล้มเหลวและน่ารำคาญ โดย นายจรัสพงษ์ สุรัสวดี หรือ ซูโม่ตู้
การเรียกร้องขอให้ข้าราชการอย่าทำตามคำสั่งที่ไม่ชอบธรรมของนักการเมือง โดยเครือข่ายเครือข่ายแพทย์ เภสัช พยาบาล อาจารย์มหาวิทยาลัย 43 องค์กร 11 มหาวิทยาลัย และจัดกิจกรรมต่อเนื่องอื่นๆตามแนวทางอหิงสา (จากการประชุมเครือข่ายครั้งใหญ่ ในวันที่ 2 กันยายน 2549) ได้แก่

การยื่นหนังสือและชูป้ายประท้วงที่หน้าบริษัทแกรมมี่หนึ่งในกิจกรรมการต่อต้านของเครือข่ายประชาสังคมหยุดระบอบทักษิณ
เรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยุติบทบาททางการเมืองโดยเด็ดขาดทันที เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรตรวจสอบที่เป็นกลางเข้ามาพิสูจน์ข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่มีต่อ พ.ต.ท. ทักษิณ
เรียกร้องให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐคำนึงถึงศักดิ์ศรีว่ามิใช่ข้าพนักงานของบริษัทรัฐบาลที่ไร้ความชอบธรรม
เรียกร้องให้ประชาชนอย่าได้เคารพกราบไหว้บุคคลผู้ไร้สัตย์ อย่าต้อนรับ อย่าให้ความสำคัญกับบุคคลประเภทนี้ไม่ว่าบุคคลประเภทนี้จะไปปรากฏกาย ณ สถานที่ใดๆ และร่วมกันแสดงพลังคัดค้านและประท้วงโดยสันติทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่องจนกว่า พ.ต.ท. ทักษิณจะยุติบทบาททางการเมืองโดยเด็ดขาด ทำกิจกรรมที่เน้นหลักอหิงสา ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ใช้กำลัง แต่จะใช้ความอดทน เช่น
การเดินขบวนเรียกร้อง จนกว่าจะขับไล่ทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ
ไม่อยากให้มีการตะโกนไล่ แต่อยากเห็นคนไทยไม่ต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อพบเห็นก็รวมกลุ่มกันหัวเราะไล่ผู้นำดีกว่าการใช้ความรุนแรง
ไม่สนับสนุนหรือซื้อสินค้าของบริษัท ห้างร้าน ที่สนับสนุน
ระบอบทักษิณ เช่น แกรมมี่ เซเว่น อีเลเว่นส์ แอร์เอเชีย เป็นต้น
องค์กรและกลุ่มบุคคลที่ออกมาร่วมขับไล่

ซุ้มล่าลายเซ็นเพื่อร่วมขับไล่ทักษิณ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ซุ้มลงนามต่อต้านระบอบทักษิณของกลุ่มสถาปนิก
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กลุ่มนักเรียนนักศึกษาในต่างประเทศ
กลุ่มแรงคิด ต้นกล้าประชาธิปไตย
ศูนย์ประสานงานนักเรียนนิสิตนักศึกษา (ศนศ.)
องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.)
เครือข่ายสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปทางการเมือง
กลุ่มนักศึกษานิด้าเพื่อประชาธิปไตย
คณาจารย์ ม.ศิลปากร
สภาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
สภาคณาจารย์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
สภาคณาจารย์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง
องค์การนิสิตมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
องค์การนิสิตมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
กลุ่มนิสิตนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณสงขลา
สมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยทักษิณ
กลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตย สมาพันธ์คาราโอเกะแห่งประเทศไทย
กลุ่มแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลรามาธิบดีและมหาวิทยาลัยมหิดล
กลุ่มวิศวกรเพื่อชาติ
กลุ่มสถาปนิกฯ
สมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สหพันธ์ศิลปินเพื่อชีวิต เพื่อประชาชนภาคใต้
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)
กลุ่มวิชาการเพื่อสังคม จังหวัดขอนแก่น เครือข่ายประชาชนขอนแก่นเพื่อประชาธิปไตย
กลุ่มประชาธิปไตยประชาชน
เครือข่ายกองทัพธรรม
สันติอโศก
กลุ่มนักเรียน
มงฟอร์ตต่อต้านทักษิณ
กลุ่มคณาจารย์และศิษย์เก่าจุฬาฯ - เครือข่ายจุฬาฯ เชิดชูคุณธรรม นำประชาธิปไตย (จคป.)
สภาอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ กลุ่มราชนิกุล และอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ 95 คน ยื่นฎีกาเพื่อให้โปรดเกล้าฯรัฐบาลพระราชทาน ตาม มาตรา 7 นำโดยนาย
ชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย ชาคนจน
เครือข่ายพิทักษ์เจตนารมณ์เดือนพฤษภา 2535
ชมรมนักศึกษานิเทศศาสตร์เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต
คณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) และพันธมิตร 11 เครือข่าย
กลุ่มนักเรียนไทยในมลรัฐฮาวาย`อิ
กลุ่ม
เครือข่ายประชาสังคมหยุดระบอบทักษิณ นำโดย ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ เว็บไซต์ของกลุ่ม
กลุ่มบุคคล
พรรคถวายจริง นำโดย จรัสพงษ์ สุรัสวดีหรือซูโม่ตู้ เว็บไซต์ของกลุ่ม
กลุ่มบุคคลหลากหลาย ที่โดนออกหมายจับในกรณีออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลและโจมตีนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตร
นายอวยชัย วะทา อดีตผู้สมัคร ส.ว.มหาสารคาม ในฐานะประธานเครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูภาคอีสาน
นายเพียร ยงหนู ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง (สร.กฟน.) และรองเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานแห่งประเทศไทย
นายสุวิทย์ วัดหนู สมาชิกองค์กรสลัมเพื่อประชาธิปไตย
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชน
นายศิริชัย ไม้งาม เลขาธิการสมาพันธ์สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ (สรส.)
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ว่าที่ ส.ว.กทม.
นายการุณ ใสงาม รักษาการ ส.ว.บุรีรัมย์
กลุ่มเครือข่ายแพทย์ เภสัช พยาบาล อาจารย์มหาวิทยาลัย 43 องค์กร 11 มหาวิทยาลัย ล่าชื่อ ปลุกกระแสต้าน"ทักษิณ" เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2549 ที่หน้าพระบรมรูป 2 รัชกาล
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วยกลุ่มดังต่อไปนี้ (บางกลุ่มเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวมาก่อนหน้านี้แล้ว)
กลุ่มจุฬาฯ เชิดชูคุณธรรม นำประชาธิปไตย (จคป)
ชาวอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ผู้ใฝ่หาจริยธรรมทางการเมือง
เครือข่ายอาจารย์และบุคลากร มศว เพื่อประชาธิปไตย
เครือข่ายวิชาการเพื่อประชาธิปไตย
เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคม
กลุ่มพี่น้องมหิดล
กลุ่มผู้รักประชาธิปไตยศาลายา
กลุ่มวิชาการเพื่อสังคม ขอนแก่น
เครือข่ายแพทย์พยาบาลเพื่อประชาธิปไตย
เครือข่ายเภสัชกรเพื่อสังคม
ชมรมเภสัชชนบท
ชมรมพยาบาลชุมชน
กลุ่มมหาสารคามรวมพลคนไล่หน้าเหลี่ยม
นิด้าพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย
คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง
คณะศิลปกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
คณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬา มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง
คณะเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
วิทยาลัยการจัดการเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยทักษิณ (U-MDC)
สถาบันภาษามหาวิทยาลัยทักษิณ
สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง
สำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง
สมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยทักษิณ
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สถาบันภาษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนก่น
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
ประชาชน จ.มหาสารคาม
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
วิทยาลัยวันศุกร์
วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีฉะเชิงเทรา
โรงพยาบาลแก้งสนามนาง จ.นครราชสีมา
โรงพยาบาลขนอม
โรงพยาบาลเชียงกลาง จ.น่าน
โรงพยาบาลทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช
โรงพยาบาลปลาปาก จ.นครพนม
โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
โรงพยาบาลสมเด็จ ณ ศรีราชา
โรงพยาบาลสูงเนิน จ.นครราชสีมา
นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
บุคคลมีชื่อเสียงที่ออกมาร่วมขับไล่

นายประมวล รุจนเสรี อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย ปราศรัยบนเวที

การแสดงดนตรีของ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ บนเวทีพันธมิตร
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน
สนธิ ลิ้มทองกุล
ร.ต.อ.นิติภูมิ นวรัตน์
สมณะโพธิรักษ์
สุริยะใส กตะศิลา
สมศักดิ์ โกศัยสุข
เสนาะ เทียนทอง
ประมวล รุจนเสรี
อภิชาติ หาลำเจียก
อภิชาติ ดำดี
อุทัย พิมพ์ใจชน
พ.อ.วินัย สมพงษ์
น.พ. นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช
การุณ ใสงาม
พิเชฐ พัฒนโชติ
ประพันธ์ศักดิ์ กมลเพ็ชร
รสนา โตสิตระกูล
สุภิญญา กลางณรงค์
สาวิทย์ แก้วหวาน
อัญชะลี ไพรีรัก
ศิลปินเพลง
คาราวาน
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
พงษ์สิทธิ์ คำภีร์
แฮมเมอร์
มาลีฮวนน่า
ซูซู
สีเผือก คนด่านเกวียน
สิบล้อ
วสันต์ สิทธิเขตต์
สุนทรี เวชานนท์
โฮป แฟมิลี่
ประทีป ขจัดพาล
อพาร์ตเมนต์คุณป้า
นรเศรษฐ หมัดคง (ดีเจซี้ด )
จ๊อบ บรรจบ
อ๊อด คีรีบูน
ณัฐ ยนตรรักษ์
[
แก้] นักวิชาการ

รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ปราศรัยบนเวทีพันธมิตร
ศ.ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช
ศ.ดร. ปราโมทย์ นาครทรรพ
ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ
รศ.ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
รศ.ดร. เสรี วงษ์มณฑา
รศ.ดร. สมยศ เชื้อไทย
รศ.ดร. ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์
รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์
ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา
ผศ.ดร. วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์
รศ.ดร. ต่อตระกูล ยมนาค
ดร. แก้วสรร อติโพธิ
รศ.ดร. ไชยันต์ ไชยพร
รศ.ดร. สุวินัย ภรณวลัย
ผศ.น.พ. ตุลย์ สิทธิสมวงศ์
ดร. อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล

การปราศรัยบนเวทีของ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง และ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
ดารานักแสดง
ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
วรรณพร ฉิมบรรจง
ดี๋ ดอกมะดัน
จรัสพงษ์ สุรัสวดี (ซูโม่ตู้) นพสิทธิ์ เที่ยงธรรม
สนธยา ชิตมณี (สน เดอะ สตาร์)
นักคิด นักเขียน
สุลักษณ์ ศิวรักษ์
อังคาร กัลยาณพงศ์
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
คมทวน คันธนู
การเคลื่อนไหวของสังคมออนไลน์

แบบเนอร์ไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ

แบบเนอนร์ต่อต้านระบอบทักษิณ
thaksingetout.org การรณรงค์ให้เจ้าของเว็บไซต์ร่วมแสดงจุดยืนในการขับไล่ โดยคาดแถบข้อความว่า "Thaksin Get Out" ในขณะที่มีเวปบอร์ดอื่นๆ อีกจำนวนมากมายที่คาดแถบ "เรารักทักษิณ" ก่อนที่ พ.ต.ท. ทักษิณจะประกาศเว้นวรรคทางการเมือง
มีการถ่ายถอดเสียงการชุมนุมขับไล่ผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ เช่น สถานีวิทยุประชาชน 92.25 Mhz หรือ fm9225.netสถานีวิทยุผู้จัดการ (คลื่นยามเฝ้าแผ่นดิน) 97.75 Mhz หรือ managerradioและมีการถ่ายถอดเสียงการต่อต้านการชุมนุมขับไล่และให้กำลังใจโดย FM 94.25 คลื่นคนรักชาติ
มีการรณรงค์ต่อต้านการแสดงความเห็นลักษณะจัดตั้งของผู้สนับสนุนรัฐบาล ซึ่งเกิดขึ้นในเวบบอร์ดยอดนิยมพันธ์ทิพย์ ห้องการเมืองที่ใช้ชื่อว่าราชดำเนิน โดยกลุ่มสมาชิกราชดำเนินเดิมกลุ่มหนึ่ง มีจำนวนกว่า 300 คน ได้จัดตั้งเวบบอร์ดขึ้นมาใหม่เป็นเวทีพูดคุยแทนห้องราชดำเนิน โดยใช้ชื่อว่า ขบวนการเสรีไทยในเวบบอร์ดในทางกลับกัน ก็มีกลุ่มสมาชิกราชดำเนินอีกกลุ่มที่คัดค้านการต่อต้านและให้กำลังใจโดยใช้ชื่อกลุ่มว่าชื่อกลุ่ม รักเมืองไทย-ให้กำลังใจนายก มีสมาชิกร่วมให้กำลังใจเป็นจำนวนประมาณกว่า 1,500 คน และอีกกลุ่มที่ต่อต้านการขับไล่นี้ที่ชื่อกลุ่ม ฅนผ่านฟ้ารักษาประชาธิปไตยเน้นตรวจสอบสื่อ สมาชิกประมาณ 300 คน มีแกนนำบางคนมาจากกลุ่มรักเมืองไทยฯ
ในช่วงก่อนวันเสาร์อาทิตย์ที่ 29 - 30 สิงหาคม 2549 ได้มีเหตุการณ์วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในเว็บบอร์ดพันธุ์ทิพย์ เกี่ยวเนื่องกับกรณีคดี กกต. ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และการสนับสนุนให้ทั้ง พ.ต.ท. ทักษิณและ กกต. ให้ทำงานต่อ ทำให้เว็บบอร์ดต้องปิดตัวชั่วคราวระหว่างวันสุดสัปดาห์ 2 วันเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการขัดแย้งและกระทู้ที่หมิ่น / ละเมิดอำนาจศาล และเปิดทำการใหม่ตามปรกติในวันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม
เว็บไซต์ เครือข่ายประชาสังคมหยุดระบอบทักษิณได้มีการเชื้อเชิญให้ติดแผ่นป้ายต่อต้าน เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนโดยสันติวิธี
เว็บไซต์ รายการโทรทัศน์ออนไลน์ของ The Reporterได้จัดรายการโทรทัศน์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตและเคเบิล โดยมีโครงการเริ่มต้นที่ UBC9 (TATV-โทรทัศน์เพื่อการท่องเที่ยวทาง UBC) แต่ต่อมาอ้างว่ามีความขัดข้องทางเทคนิค แล้วย้ายมาจัดทางอินเทอร์เน็ตแทนที่นี่แทน รายการที่ได้รับการประชาสัมพันธ์และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จัดโดย นาย
สมัคร สุนทรเวช และนายดุสิต ศิริวรรณ เนื้อหาเป็นการสนทนาปัญหาบ้านเมืองในแนวทางสนับสนุนและต่อต้าน เนื่องจากกลุ่มนี้เชื่อว่าส่วนใหญ่บิดเบือนและให้ร้ายต่อ พ.ต.ท. ทักษิณ
ในวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้เกิด
รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 เว็บไซต์ที่สนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณ ได้ปิดทำการไปทั้งหมด รวมทั้งสถานีโทรทัศน์ MV1 และเว็บไซต์ของพรรคไทยรักไทย และได้มีการออกคำสั่งคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 5/2549 เรื่อง ให้กระทรวง ICT ควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
ดูเพิ่ม
การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551
กรณีตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ป
บทวิเคราะห์จำนวนผู้ร่วมขับไล่ จาก fringer.org ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 3
รวมวีดีโอการปราศรัย
รวมวีดีโอการปราศรัยที่
ท้องสนามหลวง จากเว็บหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
รวมคลิปเสียงการปราศรัย วันที่ 20 มีนาคม 2549
รวมคลิปวิดีโอการปราศรัย วันที่ 24 มีนาคม 2549
รวมคลิปวิดีโอการปราศรัย วันที่ 25 มีนาคม 2549
ปราศรัยโดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง และ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
รวมวิดีโอคลิป สีสัน กู้ชาติ
อ้างอิง
^ คำจำกัดความและรายละเอียดของระบอบทักษิณ, แก้วสรร อติโพธิ
^ คำสั่งศาลปกครองพิพากษาเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาฯ
^ เว็บไซต์ของกลุ่มเครือข่ายฯ
^ ข่าว‘ผบช.ภ.3’ เรียกประชุมชี้มูลคดีแจ้งจับ “สนธิ” 17 พ.ย.นี้ จาก นสพ.ผู้จัดการ 14 พย.48
^ ข่าวจากกรุงเทพธุรกิจ 3มีค 49 กลุ่มเชียร์'ทักษิณ'จากเหนือ รวมตัวลานพระรูป
^ ข่าว'มังกรดำ' ชิ่ง 105 ชี้เหตุปล่อยคนด่าศาลหลังส่งกกต.เข้าคุก จากผู้จัดการ
^ บทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ประชาไทออนไลน์ 9-10 มีนาคม 2549
^ ข่าว“ทนายแม้ว-ทีมหมิ่นศาล” จ๋อย! เข้ารายงานตัวตามหมายเรียกแล้ว โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 สิงหาคม 2549
^ ข่าวไต่สวน 12 คนละเมิดอำนาจศาล, มติชน, 2 ส.ค. 2549
^ ข่าวมติชน 30 สค 49
^ คลิปวิดีโอ
^ http://www.nationweekend.com/2006/10/06/NW11_124.php?SecId=NW11&news_id=21759950
^ http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9480000136574 อ้างอิงเว็บไซต์ผู้จัดการ
^ http://www.thaipost.net/index.asp?bk=sunday&post_date=15/Jan/2549&news_id=118686&cat_id=110200 อ้างอิงเว็บไซต์ไทยโพสต์
^ http://www.bangkokbiznews.com/2006/01/23/w001_70619.php?news_id=70619 อ้างอิงเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ
^ อ้างอิง เว็บไซต์ผู้จัดการ
^ อ้างอิงเว็บไซต์ผู้จัดการ
^ ข่าวคำพิพากษาจาก นสพ.มติชน
^ อ้างอิงเว็บไซต์ผู้จัดการ
^ ข่าวจากมติชนรายวัน 21 สค.49 6เหยื่อ"รปภ.ทักษิณ" แฉนาทีรุมขย้ำกลางห้าง
^ ข่าวจากมติชนรายวัน 20 สค.49 เจอตะโกนไล่คา"พารากอน" "ทักษิณ"ฉุนจัด สั่งรวบรวมหลักฐานเอาผิด
^ ข่าว"ทรท."ปูดฝ่ายต้าน"แม้ว" มีแผนฆ่า! รุมประณามรปภ.นายกฯ จากมติชน 21 สค.49
^ ข่าวโดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 สิงหาคม 2549 18:33 น.
^ ประมวลข่าวแก๊งค์เชลียร์แม้ว
^ The Nation,"'Finland plot' on dangerous ground", 25 May 2006 (อังกฤษ)
^ The Nation, "Burning Issue: Finland, monarchy: a dangerous mix", May 25, 2006 (อังกฤษ)
^ The Bangkok Post, "Manager sued for articles on 'Finland plot'", 31 May 2006 (อังกฤษ)
^ เว็บไซต์ผู้จัดการ
^ อ้างอิงข่าวมติชน, มติชน, 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
^ ข่าวมติชน 92"หมอ-เภสัช-อจ."จี้"แม้ว" วางมือทันที! ปลุกชาวบ้านเลิก"ต้อนรับ"
^ ข่าวจาก The Nation
^ แถลงการณ์ของกลุ่มนักศึกษานิด้าเพื่อประชาธิปไตย
^ ข่าวแถลงการณ์คณาจารย์ ม.ศิลปากร หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
^ แถลงการณ์จำนวน 14 ข้อ ไม่เห็นชอบกับการดำรงตำแหน่งของ พตท.ทักษิณ ชินวัตร
^ สมาพันธ์คาราโอเกะแห่งประเทศไทย ประกาศจุดยืนชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตร
^ แถลงการณ์ของกลุ่มวิศวกรเพื่อชาติ
^ แถลงการณ์ หยุดระบอบทักษิณ ของกลุ่มสถาปนิกฯ
^ แถลงการณ์ - เรียกร้อง"ทักษิณ"ลาออก
^ แถลงการณ์ สหพันธ์ศิลปินเพื่อชีวิต เพื่อประชาชนภาคใต้
^ แถลงการณ์ไล่ทักษิณ ของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)
^ แถลงการณ์ กลุ่มวิชาการเพื่อสังคม จังหวัดขอนแก่น
^ แถลงการณ์ ทักษิณต้องออกไป ของเครือข่ายประชาชนขอนแก่นเพื่อประชาธิปไตย
^ แถลงการณ์ หยุดระบอบทักษิณ ของกลุ่มประชาธิปไตยประชาชน
^ สภาอาจารย์ มอ.แถลง ขอเป็นข้าราชการของในหลวง-ไม่อยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ โดย ผู้จัดการออนไลน์ 18 สิงหาคม 2549 17:20 น.
^ ข่าวการยื่นฎีกาเพื่อให้โปรดเกล้าฯรัฐบาลพระราชทาน ตาม มาตรา 7
^ แถลงการณ์ - ทักษิณต้องออกไป ปฏิรูปการเมืองใหม่เพื่อคนจน ณ เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สวนมิสกวัน
^ แถลงการณ์ - ยืนยันสิทธิอันชอบธรรมในการขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อต้านนายกฯ ที่มาจากการแต่งตั้งและกระบวนการนอกรัฐสภา สนับสนุนการปฏิรูปการเมืองของประชาชน
^ แถลงการณ์ - เรื่องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยด่วน
^ กป.อพช. สนับสนุนการชุมนุมแสดงออกให้นายกทักษิณลาออกจากตำแหน่งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้สันติวิธี
^ จดหมายเปิดผนึก ถึงประธานรัฐสภา ฉบับที่ 1 กรณีการชุมนุมปฏิเสธรัฐบาลทักษิณ วันที่ 4 ก.พ. 49
^ ข่าวพันธมิตรโวยถูกสกัดเคลื่อน ขอจับ8แกนนำ จากมติชน 30สค.49
^ ข่าวมติชน เปิด92ชื่อ-43องค์กร ไม่เอา"ทักษิณ" 3 กย.49
^ ทอล์คโชว์ - คอนเสิร์ท พี่ตู้ จรัสพงษ์ สุรัสวดี ตอนแผนลอบสังหารท่านผู้นำของผมที่ล้มเหลวและน่ารำคาญ
^ http://www.fm9225.net
^ http://www.managerradio.com
^ เว็บไซต์ของขบวนการเสรีไทยในเวบบอร์ด
^ เว็บไซต์กลุ่มรักเมืองไทย-ให้กำลังใจนายก
^ เว็บไซต์ของฅนผ่านฟ้า
^ http://www.StopThaksin.com
^ http://www.1reporter.tv

การเมือง
การเมือง คือ กระบวนการและวิธีการ ที่จะนำไปสู่การตัดสินใจของกลุ่มคน คำนี้มักจะถูกนำไปประยุกต์ใช้กับรัฐบาล แต่กิจกรรมทางการเมืองสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปในทุกกลุ่มคนที่มีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งรวมไปถึงใน บรรษัท, แวดวงวิชาการ และในวงการศาสนา

ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ นักทฤษฎีการเมืองคนหนึ่ง ได้นิยามการเมืองว่า เป็นการตัดสินว่า "ใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร"

วิชารัฐศาสตร์ คือ วิชาที่ศึกษาพฤติกรรมทางการเมือง และวิเคราะห์การได้มาซึ่งอำนาจและการนำอำนาจไปใช้ ซึ่งหมายถึง ความสามารถที่จะบังคับให้ผู้อื่นกระทำตามสิ่งที่ตนตั้งใจ

แนวความคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการเมือง
เราอาจเคยสงสัยและตั้งคำถามว่า เหตุใดมนุษย์จึงต้องปกครองกัน ทำไมไม่ปล่อยให้มนุษย์อยู่กันเอง กระทั่งอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า การเมืองกับการปกครองเป็นเรื่องใกล้ตัว ซึ่งหลายคนจำเพาะในกลุ่มผู้ที่ขาดความสนใจต่อความเป็นมาเป็นมาในกิจการทางการเมืองอาจฟังดูไม่กระจ่างนัก ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวประการใด

คำตอบต่อความสงสัยข้อแรกนั้นโยงใยไปถึงความข้อต่อมากล่าวคือ มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติเป็นสัตว์สังคม ที่ต้องอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกัน หากมิได้กำหนดกติกาอะไรสักอย่างขึ้นมากำกับการอยู่รวมกันของมนุษย์แล้วนั้น มนุษย์ด้วยกันเองยังเชื่อว่าน่าจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในสังคมและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เนื่องจากโดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น ป่าเถื่อน ขลาดกลัวและไม่เป็นระเบียบดังที่ โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักปรัชญาการเมืองโบราณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1588-1679 ได้เคยกล่าวไว้ในผลงานปรัชญาการเมืองเลื่องชื่อเรื่อง “Leviathan” ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1651 ว่า เมื่อมนุษย์จำต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมภายใต้กติกาแล้ว ก็จำเป็นอยู่ในตัวเองที่จะต้องกำหนดตัวผู้นำมาทำหน้าที่ควบคุมดูแลให้สังคมหรือการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ดำเนินไปได้ด้วยความเรียบร้อย เช่นที่กล่าวมาเราคงพอจะทราบบ้างแล้วว่าเหตุใดจึงเกิดมีระบบการปกครองขึ้น

และโดยนัยที่มนุษย์จำต้องปกครองกันนั้น หากเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างมนุษย์ด้วยกัน หรือการจะทำให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นไป หลีกเลี่ยงมิได้เสียที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจทางการเมือง อันมีความหมายและบริบทที่สะท้อนออกมาในเรื่องของการใช้อำนาจเพื่อการปกครองประชาชน การเมืองการปกครองซึ่งเป็นสภาพการณ์และผลที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ (Eulau 1963, 3) จึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ซึ่งก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้ใดก็ตาม จำเป็นต้องให้ความสนใจกับเรื่องการเมืองการปกครองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เนื่องจากสิ่งใดที่ออกมาจากสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าที่ในการตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้ มาจากรัฐบาลในรูปของนโยบายสาธารณะ (Public Policies) โครงการพัฒนา (Developmental Program) และงานต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นหรือดำเนินไปโดยภาคราชการ รวมไปถึงการตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคลกับรัฐ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่การเมืองส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างที่ไม่อาจมองข้ามไปได้

โดยบริบทดังกล่าวการศึกษาเรื่องการเมืองและการปกครองของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในแทบทุกสาขาวิชาในระดับอุดมศึกษาให้นักศึกษาได้ร่ำเรียน ทำความรู้ความเข้าใจในฐานะที่อย่างน้อยก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม และเป็นเรื่องภาคราชการทั้งหลายต่างรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ภายใต้ความมุ่งประสงค์ที่จะหยั่งรากประชาธิปไตยในสังคมไทย และหากได้มองย้อนไปถึงแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองโบราณเช่น อริสโตเติล (Aristotle) ปรัชญาเมธีชาวกรีกโบราณ ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์” ผู้กล่าวไว้ว่า มนุษย์ตามธรรมชาติเป็นสัตว์การเมืองต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มหรือชุมชน อันแตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่น ๆ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก หากแต่มนุษย์ นอกจากจะอยู่ด้วยสัญชาตญาณแล้ว ยังมีเป้าหมายอยู่ร่วมกันอีกด้วย ดังนั้นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์จึงมิใช่มีชีวิตอยู่ไปเพียงวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น หากแต่เป็นการอยู่ร่วมกันเพื่อจะให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย เราก็จะมองเห็นภาพของการเมืองในแง่หนึ่งว่าการเมืองนั้นก็คือ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในชุมชนหรือสังคมเพื่อให้มีความสงบสุข

ความหมายของการเมือง
ในทางทฤษฎีรัฐศาสตร์ มุมมองที่ใช้พิจารณาการเมืองหรือพูดเป็นศัพท์ทางวิชาการก็คือแนวการศึกษาวิเคราะห์การเมือง (Approach to Political Analysis) ก็ย่อมแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ใครจะเห็นว่าแนวการมองการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงต่อการอธิบายความเป็นการเมืองได้มากที่สุด โดยคำว่า “การเมือง” นี้ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ได้ให้ความหมายไว้แตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียด ตามแต่จะใช้ตัวแบบใดในการศึกษาวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมือง และด้วยตัวแบบที่เป็นกรอบในการศึกษาวิเคราะห์นี้ จะยังผลให้กรอบการมองคำว่าการเมืองต่างกันไป ในขณะที่สาระสำคัญของคำจำกัดความเป็นไปในทำนองเดียวกันกล่าวคือเป็นเรื่องของการใช้อำนาจแบบสองทางระหว่างฝ่ายที่เป็นผู้ปกครอง (Rulers) และฝ่ายผู้ถูกปกครอง (Ruled) ดังจะได้ยกมากล่าวถึง ซึ่งสำหรับผู้ศึกษารัฐศาสตร์มือใหม่แล้ว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของคำว่าการเมืองนั้น จึงดูจะเป็นเรื่องที่สร้างความสับสนอยู่มิใช่น้อย เนื่องมาจากความหมายของการเมืองที่ปรากฏอยู่ในตำราเล่มต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นเผยแพร่นั้นมีอยู่หลากหลายต่างกันไปตามความเจตนารมณ์และมุ่งประสงค์ในการนำความหมายของการเมืองเพื่อไปอธิบายปรากฏการณ์ของผู้ให้คำนิยามความหมายของการเมือง ดังได้กล่าวไปแล้ว

คำจำกัดความของการเมืองที่ชัดเจนและรัดกุมมากที่สุดโดยนัยที่ได้กล่าวไปนี้ พิจารณาได้จากทัศนะของชัยอนันต์ สมุทวณิช (2517, 61) ที่ว่า การเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปของรัฐและการจัดระเบียบความสัมพันธ์ภายในรัฐระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง โดยเมื่อสังคมมนุษย์ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีรัฐบาล คนเราจึงต้องแบ่งออกเป็นสองพวกใหญ่ ๆ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่บังคับกับผู้ถูกบังคับเสมอ

ผู้เรียบเรียงได้รวบรวมและประมวลคำนิยามหรือความหมายของคำว่าการเมือง มานำเสนอโดยจำแนกได้เป็น 6 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มแรก การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ โดยเป็นการต่อสู้กันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและอิทธิพลในการบริหารกิจการบ้านเมือง โดยคำนิยามของการเมืองในเชิงอำนาจที่น่าสนใจอันหนึ่ง ที่ได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจนมากได้แก่นิยามของ เพนนอคและสมิธ (Pennock and Smith 1964, 9) ที่กล่าวว่า การเมือง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับอำนาจ สถาบันและองค์กรในสังคม ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีอำนาจเด็ดขาดครอบคลุมสังคมนั้น ในการสถาปนาและทำนุรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม มีอำนาจในการทำให้จุดประสงค์ร่วมกันของสมาชิกในสังคมได้บังเกิดผลขึ้นมา และมีอำนาจในการประนีประนอมความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนในสังคม

อีกหนึ่งคำนิยามการเมืองที่ถือได้ว่าครอบคลุมและช่วยให้เห็นภาพความเกี่ยวพันของการเมืองกับบุคคลในสังคมได้แก่ ณรงค์ สินสวัสดิ์ (2539, 3) ที่กล่าวว่า การเมืองเป็นการต่อสู้ช่วงชิง การรักษาไว้และการใช้อำนาจทางการเมือง โดยที่อำนาจทางการเมืองหมายถึง อำนาจในการที่จะวางนโยบายในการบริหารประเทศหรือสังคม อำนาจที่จะแต่งตั้งบุคคลเพื่อช่วยในการนำนโยบายไปปฏิบัติ และ อำนาจที่จะใช้ข้าราชการ งบประมาณหรือเครื่องมืออื่น ๆ ในการนำนโยบายไปปฏิบัติ แนวการมองการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ (Power Approach) ดังที่ได้ยกตัวอย่างไปนี้ เป็นแนวทางการศึกษาหนึ่งที่ได้รับความนิยมชมชอบในหมู่นักรัฐศาสตร์และนักสังคมศาสตร์ทั่วไป ที่เห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องหรือมีบริบทเกี่ยวกับการใช้อำนาจเพื่อการปกครองประชาชน ก็มักให้คำนิยามของการเมืองว่าเป็นปฏิสัมพันธ์ในเชิงการใช้อำนาจของรัฐาธิปัตย์ ต่อผู้อยู่ใต้อำนาจซึ่งก็คือประชาชนนั่นเอง โดยคำนิยามเช่นนี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ออกมาจากสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าที่ในการตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้ มาจากรัฐบาลในรูปของนโยบายสาธารณะ (Public Policies) โครงการพัฒนา (development program) และงานต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นหรือดำเนินไปโดยภาคราชการ รวมไปถึงการตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคลกับรัฐ จึงล้วนแต่เป็นเรื่องที่การเมืองส่งผลกระทบต่อนักศึกษาและบุคคลทั่วไป โดยบริบทดังกล่าวการศึกษาเรื่องการเมืองและการปกครองของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในแทบทุกสาขาวิชาในระดับอุดมศึกษาให้นักศึกษาได้ร่ำเรียน ทำความรู้ความเข้าใจในฐานะที่อย่างน้อยก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม และเป็นความรู้หนึ่งที่ประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยสมควรสั่งสมให้แก่พลเมืองของรัฐ เพื่อประโยชน์เป็นพื้นฐานของการมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

นักรัฐศาสตร์บางท่านมองว่า แท้จริงนั้น การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องการต่อสู่แย่งชิงกันของกลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group) ที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ ในอันที่จะแย่งชิงกันเข้าสู่อำนาจการบริหารประเทศ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้ผลผลิตจากระบบการเมือง (Political Outputs-ผลผลิตของระบบการเมือง เป็นคำศัพท์เทคนิคทางรัฐศาสตร์ตามทัศนะของอีสตัน (David Easton) นักรัฐศาสตร์อเมริกัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของแนวคิดทฤษฎีการเมืองเชิงระบบ (the Systems Theory) อันได้แก่ นโยบาย กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ โครงการหรือแผนงานพัฒนาของภาครัฐและภาคราชการ ซึ่งผลในทางที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มของตนมากที่สุด เราเรียกการวิเคราะห์การเมืองแนวทางนี้ว่าเป็น การวิเคราะห์เชิงกลุ่มผลประโยชน์ ซึ่งดูไปก็เป็นส่วนสำคัญหนึ่งของแนวการมองการเมืองเชิงอำนาจที่จะกล่าวถึงต่อไป ความหมายของการเมืองในมุมมองนี้ จึงเป็นว่า การเมืองการเมืองคือการที่บุคคลใดหรือกลุ่มใดในสังคม ซึ่งอาจมีผลประโยชน์ร่วมกัน หรือขัดกันก็ตาม หรือมีความเห็นเหมือนกันหรือไม่เหมือนกันก็ตาม มาทำการต่อสู้เพื่อสรรหาบุคคลมาทำหน้าที่ในการปกครองและเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่จะให้เขาสามารถตัดสินใจในเรื่องของส่วนรวมได้โดยชอบธรรม ซึ่งจัดเป็นแนวที่นักรัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมการเมือง (Political Scientist) นิยมกัน

กลุ่มที่สอง มองว่า การเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรของรัฐหรือสิ่งที่มีคุณค่าทางสังคม ดังเช่นมุมมองของอีสตัน (David Easton) ซึ่งได้อธิบายไว้ว่า การเมือง เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในการจัดสรรแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ ให้กับสังคมอย่างชอบธรรม (The authoritative allocation of values to society) ความหมายของการเมืองดังที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นนิยามที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากสำนักพหุนิยม (Pluralism) อย่างไรก็ดี ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2535, 4-5) อธิบายว่า เราจะใช้ความหมายการเมืองดังกล่าวนี้ได้ก็ต่อเมื่อ ในสังคมนั้น ๆ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับผลกระทบจากทั้งทางตรงและทางอ้อม มีความเห็นพ้องต้องกันและยอมรับในกติกาที่กำหนดการใช้อำนาจเพื่อแบ่งปันสิ่งที่มีคุณค่าเท่านั้น ส่วนในสังคมที่ยังไม่มีความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับกติกาการกำหนดสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม ชัยอนันต์ อธิบายว่า การเมืองยังคงเป็นเรื่องของการแข่งขันกันเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการแบ่งปันคุณค่าที่ให้ประโยชน์แก่ฝ่ายตนมากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้ หรือ “The competition for the authority to determine the authoritative allocation of values to society” โดยนัยเช่นนี้ การเมืองจึงมีสองระดับ ระดับแรก การเมืองอยู่ภายใต้การแข่งขัน ขัดแย้งของฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองที่ทุก ๆ ฝ่ายยอมรับได้ ในขณะที่การเมืองในความหมายอย่างแรกดังทัศนะของนักคิดกลุ่มพหุนิยมที่ได้กล่าวไปแล้ว ดูจะยอมรับในจุดเน้นว่ารัฐ เป็นการรวมกันหรือประกอบกันของกลุ่มหลากหลายในสังคม และรัฐมิได้เป็นเครื่องมือทางการบริหาร โดยที่มิได้เป็นตัวกระทำทางการเมือง (actors) ที่จะชี้นำการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่รัฐเป็นเพียงรัฐบาล (State as government) ที่ทำหน้าที่เพียงเอื้ออำนวยความสะดวกในการแข่งขันกันของกลุ่มหลากหลายเท่านั้น (ชัยอนันต์ สมุทวณิช 2535, 6)

นอกจากนี้ คำนิยามการเมืองในกลุ่มที่สอง ซึ่งได้รับการกล่าวถึงอย่างสูงยังได้แก่ ทัศนะของลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) ที่กล่าวว่า การเมือง เป็นเรื่องของการศึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลและผู้มีอิทธิพล และการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับว่า ใคร ทำอะไร เมื่อไร และอย่างไร (Politics is, who gets “What”, “When” and “How”)

กลุ่มที่สาม มองว่า การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง ทั้งนี้เนื่องจากทรัพยากรของชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด ขณะที่ผู้คนซึ่งต้องการใช้ทรัพยากรนั้นมีอยู่มากและความต้องการใช้ไม่มีขีดจำกัด การเมืองจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่คนในสังคมไม่อาจตกลงกันได้หรือเกิดมีความขัดแย้งขึ้น อย่างไรก็ดี การมองการเมืองในลักษณะนี้มีข้อโต้แย้งอยู่มากว่า หากไม่อาจยุติข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ บ้านเมืองย่อมตกอยู่ในสภาวะยุ่งยากวุ่นวาย ต่อมาจึงมีผู้ให้มุมมองการเมืองใหม่ว่าเป็นเรื่องของการประนีประนอมความขัดแย้งมากว่าเป็นเรื่องของความขัดแย้ง

กลุ่มที่สี่ มองว่าการเมืองเป็นเรื่องของการประนีประนอมผลประโยชน์ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดความขัดแย้งจากการดำเนินงานทางการเมืองที่ไม่มีทางออก

กลุ่มที่ห้า ถือว่าการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐและการบริหารประเทศในกิจกรรมหลัก 3 ด้านคือ งานที่เกี่ยวกับรัฐ การบริหารประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบาย และการอำนวยการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งเป็นการควบคุมให้มีการดำเนินงานตามนโยบาย ซึ่งหากพิจารณาให้ละเอียดแล้ว การเมืองโดยนัยยะความหมายประการนี้ เป็นเรื่องที่คาบเกี่ยวกับการเมืองในความหมายเชิงอำนาจ ซึ่งก็เป็นเพราะอำนาจทางการเมืองนั้น ได้ถูกนำไปใช้ผ่านกระบวนการนโยบายและการแต่งตั้งคัดสรรผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ (ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ในรูปของอำนาจและการปฏิบัติงานทางการปกครอง และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและการบริหารหรือการปกครองที่ยากจะแยกออกจากกันได้

กลุ่มที่หก การเมืองเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายของรัฐ กล่าวคือ การเมืองคือกิจกรรมใดใดที่เกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย หน่วยงานและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการกำหนดนโยบาย โดยนัยหนึ่ง การเมืองก็คือกระบวนการกำหนดนโยบายของรัฐ นั่นเอง

วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2553 เป็นชุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อต่อต้านและสนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งวิกฤตการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับเสรีภาพสื่อ เสถียรภาพทางการเมืองในไทย รวมทั้งยังสะท้อนภาพความไม่เสมอภาคและความแตกแยกระหว่างชาวเมืองและชาวชนบท การละเมิดอำนาจ และผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งได้บั่นทอนการเมืองไทยมาเป็นเวลาช้านาน

ในปี พ.ศ. 2548 ได้มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายซึ่งมีความเห็นว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ควรออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล "มิตรเก่าศัตรูใหม่" จนกระทั่งลงเอยด้วยเหตุการณ์รัฐประหาร ส่งผลให้ฝ่ายทหาร นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก้าวขึ้นสู่อำนาจและเข้ามามีบทบาททางการเมือง ส่งผลให้ไทยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ซึ่งมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่าง พ.ศ. 2549-2550

ต่อมา ผลการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2550 พรรคพลังประชาชน ซึ่งถูกมองว่าเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลผสม ทำให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเคยดำเนินการเคลื่อนไหวก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร กลับมาชุมนุมอีกครั้ง เพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวชและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากตำแหน่ง ก่อนจะสลายการชุมนุมเมื่อมีการยุบพรรคพลังประชาชน

การเมืองพลิกขั้ว เมื่อผลการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ธันวาคม พ.ศ. 2551 ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสมัยรัฐบาลทักษิณ สมัครและสมชาย ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติดำเนินการชุมนุมเพื่อกดดันให้นายอภิสิทธิ์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งวิกฤตการณ์ดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะยุติ

เบื้องหลัง
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองของทักษิณ ชินวัตร

ทักษิณ ชินวัตรดูเพิ่มที่ ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย และ ข้อกล่าวหาการทุจริตในโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ถูกนักวิชาการบางกลุ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าอยู่ภายใต้ "ระบอบทักษิณ" คือ ไม่ใส่ใจต่อเจตนารมณ์ประชาธิปไตย ข้องเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการฉ้อราษฎร์บังหลวง นอกจากนี้ยังไม่สามารถควบคุมความรุนแรงที่เกิดขึ้น จนกลายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งคำว่า "ระบอบทักษิณ" นี้เองที่สร้างความชอบธรรมในการขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประชาชนบางกลุ่ม
ความขัดแย้งสนธิ-ทักษิณ และกรณีเมืองไทยรายสัปดาห์
ความสัมพันธ์ระหว่างสนธิ-ทักษิณ "มีความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งชังกันมานาน" ทั้งเคยเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจร่วมกัน และนายสนธิยังเคยสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรกอีกด้วย ก่อนที่นายสนธิจะหันมาโจมตี "เพื่อนเก่า" จากการเสียผลประโยชน์ทางธุรกิจ ความขัดแย้งดังกล่าวได้ขยายตัวขึ้นเมื่อช่องโทรทัศน์ 11/1 ของนายสนธิถูกสั่งยุติการออกอากาศชั่วคราว จากการพิพาทในหนังสือสัญญากับผู้วางระเบียบของรัฐบาล

กลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ฝ่ายบริหารของอสมท. มีมติให้ระงับการออกอากาศรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวีอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ ได้อ่านบทความเรื่อง "ลูกแกะหลงทาง" ซึ่งมีเนื้อหาโดยอ้อมกล่าวหารัฐบาลทักษิณและเชื่อมโยงไปถึงสถาบันเบื้องสูง นายสนธิจึงเปลี่ยนเป็นการจัดรายการนอกสถานที่แทน และเป็นช่วงเดียวกับที่กลุ่มพันธมิตรฯ ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก

กรณี "การละเมิดพระราชอำนจ"
ในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2548 หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน ได้ตีพิมพ์การเทศนาของหลวงตามหาบัว มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท. ทักษิณ อย่างหนัก และมีเนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ามีการใช้อำนาจ "...มุ่งหน้าต่อประธานาธิบดีชัดเจนแล้วเดี๋ยวนี้ พระมหากษัตริย์เหยียบลง ศาสนาเหยียบลง ชาติเหยียบลง..." ทำให้เกิดหัวข้อโต้เถียงกันเป็นวงกว้าง ต่อมา วันที่ 11 ตุลาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ฟ้องหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ เป็นเงินกว่า 500 ล้านบาท แต่ก็ได้มีการถอนฟ้องหลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสแนะนำโดยอ้อมเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว


การทำบุญที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2548และนับตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการได้เขียนบทความกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีละเมิดอำนาจของพระมหากษัตริย์ เนื่องจากการเป็นประธานในพิธีการทำบุญที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 10 เมษายน (ซึ่งโดยปกติสงวนไว้เป็นพระที่นั่งของพระมหากษัตริย์)

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ออกมาชี้แจงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานอนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธานในพิธีแล้ว เช่นเดียวกับนายจักรธรรม ธรรมศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในขณะนั้น ได้สนับสนุนและอ้างว่าสำนักพระราชวังออกแบบพิธีทั้งหมด รวมทั้งการจัดตำแหน่งเก้าอี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ได้ระบุว่า ในวันดังกล่าวไม่มีพระบรมราชานุญาติให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธานในพิธีแต่อย่างใด

ในวันที่ 17 พฤศจิกายน ศาลแพ่งมีคำสั่งให้นายสนธิหยุดการกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่ม ในเดือนเดียวกัน พลเอกกิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ อดีตราชองครักษ์ ได้ร้องทุกข์ต่อตำรวจในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายวิษณุ เครืองามกระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในกรณีการทำบุญดังกล่าว แต่ในภายหลังก็ได้ถอนฟ้อง หลังจากพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวตรัสแนะนำในเหตุการณ์ดังกล่าว

กรณีการขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ป
ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2549 ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นที่ครอบครองอยู่ทั้งหมดในกลุ่มบริษัทชินคอร์ป ให้แก่บริษัทเทมาเส็ก รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 73,000 ล้านบาท[22] หรือกว่า 49.61% ของหุ้นทั้งหมด ทำให้ถูกโจมตีในประเด็นด้านการได้รับการยกเว้นภาษี การปล่อยให้ต่างชาติเข้าบริหารกิจการด้านความมั่นคง รวมทั้งผลประโยชน์ทับซ้อนและการหลีกเลี่ยงภาษีกำไรส่วนทุน

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ดำเนินการตรวจสอบการซื้อขายดังกล่าว โดยได้ผลสรุปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และบุตรี พินทองทา ชินวัตร ปราศจากความผิด อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการได้พบว่าบุตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ พานทองแท้ ชินวัตร ละเมิดกฎว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลและข้อเสนอการประมูลสาธารณะในการซื้อขายระหว่างปี พ.ศ. 2543-2545 นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบการโอนภายในโดยผู้ถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ป แต่ก็ไม่พบการกระทำที่ผิดกฎ

ลำดับเหตุการณ์
การยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2549
เย็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 โดยให้เหตุผลว่า มีการใช้วิถีทางนอกระบอบประชาธิปไตยกดดันให้ตนลาออกจากตำแหน่ง แต่จะให้ประชาชนตัดสินว่าควรจะกลับมาดำรงตำแหน่งหรือไม่ต้องการอ้างอิง พรรคฝ่ายค้าน ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยและพรรคมหาชน ประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์และรณรงค์ให้ผู้ไปใช้สิทธิ์กาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจความคิดเห็นของสวนดุสิตโพลล์ ระบุว่ามีผู้ไม่เห็นด้วยกับการคว่ำบาตรกว่า 45.21% และเห็นด้วยเพียง 28.05%

กรณีศาลท่านท้าวมหาพรหม

ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานครในช่วงเช้าของวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549 นายธนกร ภักดีผล ผู้เคยมีประวัติอาการทางจิตและภาวะซึมเศร้า เข้าทำลายรูปปั้นท้าวมหาพรหมใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งในภายหลังได้ถูกชาวบ้านทุบตีจนเสียชีวิต จากเหตุการณ์ดังกล่าว นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้หยิบยกมากล่าวอ้างในการชุมนุมในวันรุ่งขึ้นว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้บงการให้เกิดการทำลายเทวรูปดังกล่าว และแทนที่เทวรูปพระพรหมด้วย "อำนาจมืด" ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับเขา นายสนธิได้กล่าวอ้างว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ว่าจ้างนายธนกรให้กระทำการดังกล่าวผ่านทางชาแมนมนต์ดำเขมร เนื่องจาก "เป็นผู้หลงใหลอยู่ในความเชื่อที่ผิด" และ "เป็นการปัดเป่าลางร้าย"

บิดาของผู้เสียชีวิต นายสายันต์ ภักดีผล กล่าวว่า นายสนธิเป็น "คนโกหกคำโตที่สุดที่เคยเจอมา" ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ มองว่าการกล่าวอ้างของนายสนธิ "บ้า" และจนถึงปัจจุบัน นายสนธิก็ยังปฏิเสธจะให้ "ข้อมูลเชิงลึก" แก่สาธารณะชนในเรื่องดังกล่าว

[แก้] การชุมนุมต่อต้านและสนับสนุนทักษิณ
การชุมนุมเพื่อขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2547 ในช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ 1 โดยมีการรวมตัวของกลุ่มคนในนาม กลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ ตามด้วยการชุมนุมปราศรัยทางการเมือง ก่อนที่จะแพร่หลายขึ้นใน พ.ศ. 2548

แต่แรงกดดันให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออกจากตำแหน่ง เพิ่มขึ้นมากหลังกรณีการขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ป โดยมีการประท้วงต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยกลุ่มชนชั้นกลางและชนชั้นสูงและนิยมกษัตริย์ ร่วมกับกลุ่มสันติอโศก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว และพนักงานของรัฐวิสาหกิจซึ่งต่อต้านการแปรรูป รวมทั้งสถาบันการศึกษาและปัญญาชน

ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2549 ผู้ชุมนุมกว่า 3,000 คน ภายใต้การนำของนายสนธิ สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคน ได้ทำการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล และสามารถยึดอาคารได้เป็นเวลา 20 นาที ก่อนที่จะกลับมารวมตัวภายนอกและทำการประท้วงต่อไป


การประกาศตัวครั้งแรกของพันธมิตรฯ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549การชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งสื่อไทยบางแห่งจำนวนผู้ชุมนุมไว้ถึง 100,000 คน ในขณะที่การชุมนุมวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ซึ่งมีการเปิดตัวกลุ่มพันธมิตรฯ และแกนนำอย่างเป็นทางการ หนังสือพิมพ์ไทยส่วนใหญ่ระบุจำนวนผู้ชุมนุมไว้ราว 30,000-50,000 คน ในขณะที่บีบีซี รอยเตอร์และเอเอฟพี กลับประเมินไว้เพียง 5,000-15,000 คน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ในการชุมนุมหลายครั้งถัดมาได้มีลักษณะความรุนแรงเพิ่มขึ้น ด้านประธานสำนักงานองค์การนิรโทษกรรมสากลในประเทศไทย ได้กล่าวประณามพฤติกรรมของผู้ชุมนุมที่รังควานนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง

ในวันที่ 5 มีนาคม ผู้ชุมนุมต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ในกรุงเทพมหานครหลายหมื่นคนรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกับตะโกนว่า "ทักษิณ! ออกไป!" ในวันที่ 13 มีนาคม ผู้ชุมนุมได้ย้ายไปยังเต้นท์ถาวรที่แยกสวนมิสกวัน ด้านนอกทำเนียบรัฐบาล ซึ่งได้กีดขวางการจราจรและการจัดงานกาชาดประจำปี

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 3 มีนาคม กลุ่มผู้ชุมนุมสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มาชุมนุมที่ท้องสนามหลวงโดยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมหาศาล ซึ่งในสื่อไทยระบุไว้ถึง 200,000 คน และสื่อต่างประเทศบางแห่งระบุไว้ราว 150,000 คน และนับตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางมาจากภาคเหนือและภาคอีสานในรูปของคาราวานอีแต๋นและชุมนุมกันที่สวนจตุจักร[ต้องการอ้างอิง]

หนึ่งสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งใหม่ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2549 กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินขบวนไปตามย่านการค้า สถานที่ประกอบธุรกิจและอาคารสำนักงานหลายแห่งต้องปิดทำการ ซึ่งคาดการณ์ว่าก่อให้เกิดความเสียหายถึง 1.2 พันล้านบาท[ต้องการอ้างอิง] และในการชุมนุมเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ได้ก่อให้เกิดการจราจรติดขัดอย่างหนักในกรุงเทพมหานครและรบกวนการขนส่งของรถไฟฟ้า BTS อีกส่วนหนึ่ง โดยสื่อไทยคาดว่ามีผู้ร่วมชุมนุมราว 50,000 คน แต่สื่อต่างชาติประเมินไว้เพียง 5,000-30,000 คน พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง และสัดส่วนผู้ที่เห็นด้วยให้นายกรัฐมนตรีลาออก ลดลงจาก 48% เมื่อสามสัปดาห์ก่อน เหลือเพียง 26%

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงความต้องการให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแทรกแซงการเมือง โดยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เพื่อยุติความขัดแย้ง เช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรฯ สภาทนายความ และสภาสื่อแห่งประเทศไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสตอบแนวคิดดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 เมษายน ว่าการกระทำเช่นนั้น "ไม่เป็นประชาธิปไตย" "เป็นความยุ่งเหยิง" และ "ไม่มีเหตุผล"
การเลือกตั้งทั่วไป เมษายน พ.ศ. 2549 และผลที่ตามมา

ซุ้มล่ารายชื่อเพื่อขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2549 พบว่าพรรคไทยรักไทยได้รับที่นั่งในรัฐสภาถึง 460 ที่นั่ง ด้วยคะแนนเสียง 56% ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอ้างว่าเขาได้รับเสียงถึง 16 ล้านเสียง อย่างไรก็ตาม ผู้ลงสมัครพรรคไทยรักไทยใน 38 จังหวัดเลือกตั้งภาคใต้ ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนนเสียงไม่ถึง 20% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้งชะลอผลของการเลือกตั้ง และจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2549 พรรคประชาธิปัตย์ยื่นฎีกาต่อศาลปกครองกลางให้ยกเลิกการเลือกตั้งซ่อม ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการถ่วงเวลาการเปิดประชุมสภาและขัดขวางมิให้การจัดตั้งรัฐบาลเสร็จทันกำหนดที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ[ เช่นเดียวกับพันธมิตรฯ ที่ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวว่า "การชุมนุมจะยังคงมีต่อไปจนกว่าประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้ง"

เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศจัดตั้งคณะกรรมการไกล่เกลี่ยอิสระเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการเมือง พร้อมกับออกตัวว่า เขายอมลาออก หากคณะกรรมการดังกล่าวมีคำแนะนำเช่นนั้น แต่พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่เข้าร่วมกับคณะกรรมการดังกล่าว และในวันรุ่งขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาแถลงไม่เข้ารับการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่า เพื่อสร้างความสมานฉันท์และความปรองดองในชาติ ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ ลาราชการและแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทน[ต้องการอ้างอิง] ซึ่งพันธมิตรฯ ได้เฉลิมฉลองในวันที่ 7 เมษายน และประกาศว่าการกำจัดระบอบทักษิณเป็นเป้าหมายต่อไปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสแก่ตุลาการและผู้พิพากษาอาวุโส โดยแสดงพระราชประสงค์ให้มีการดำเนินการทางตุลาการเพื่อยุติความขัดแย้งทางการเมือง เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 8-6 เสียง ให้เพิกถอนการเลือกตั้งและจัดการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ ซึ่งกำหนดไว้เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549[54] ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนยังได้เรียกร้องให้สมาชิกของคณะกรรมการการเลือกตั้งลาออกจากตำแหน่ง และเมื่อสมาชิกดังกล่าวปฏิเสธ ศาลอาญาจึงได้สั่งจำคุกและปลดคณะกรรมการการเลือกตั้งออกจากตำแหน่ง "แผนฟินแลนด์" และ "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"
ก่อนหน้าพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงหนึ่งวัน หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ ผู้จัดการ ได้ตีพิมพ์บทความส่วนหนึ่งเกี่ยวกับ "แผนฟินแลนด์ ข้อกล่าวหา ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย มีแผนสมคบคิดเพื่อโค่นล่มราชวงศ์จักรีและยึดอำนาจการปกครองประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ได้ฟ้องต่อนายสนธิ บรรณาธิการ คอลัมนิสต์ และฝ่ายบริหารอีกสองคนในข้อหาหมิ่นประมาท

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน คำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนหนึ่งซึ่งพาดพิงถึง "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"จึงทำให้เกิดการคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หมายความถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายสนธิจึงกล่าวแก่สาธารณชนให้เลือกว่าจะเข้ากับพระมหากษัตริย์หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ

กรณีคาร์บอมบ์ สิงหาคม พ.ศ. 2549
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549 รถคันหนึ่งซึ่งขนวัตถุระเบิดกว่า 67 กิโลกรัมได้หยุดบริเวณใกล้ที่พักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในเขตธนบุรี โดยมี ร.ต.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ อดีตคนขับรถส่วนตัวของ พล.ต.อ.พัลลภ ปิ่นมณี รักษาการผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เป็นพลขับ โดยการสืบสวนของตำรวจพบว่า รถคนดังกล่าวได้ออกจากสำนักงานใหญ่ของ กอ.รมน. เมื่อเช้าวันเดียวกัน

พล.ต.อ.พัลลัภ ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว และกล่าวว่า "ถ้าผมทำ นายกฯ หนีไม่พ้นผมหรอก..."และกล่าวอ้างว่า "วัตถุระเบิดอยู่ระหว่างการขนส่ง ไม่ได้เก็บรวบรวมมาจุดระเบิด"ในขณะที่ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นแผนสมคบคิดของรัฐบาล

ร.ต.ท.ธวัชชัย ถูกจับกุมตัว และ พล.ต.อ.พัลลภ ถูกปลดออกจากตำแหน่งในทันที ในภายหลังได้มีการจับกุมนายทหารเพิ่มอีก 5 นาย เนื่องจากสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องแต่นายทหารสามนาย รวมทั้ง ร.ต.ท.ธวัชชัย ถูกปล่อยตัว ภายหลังการก่อรัฐประหารในเดือนกันยายน

เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2549 และสถานการณ์การเมืองสมัยรัฐบาลทหาร
ดูเพิ่มที่ รัฐบาลชั่วคราว หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549

ผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมกันแถลงการณ์ผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นำโดยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินได้รัฐประหารยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากรัฐบาลทักษิณ โดยได้แถลงเหตุผลของรัฐประหารไว้ใน "สมุดปกขาว" สองวันถัดมา กลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศยุติการชุมนุมและประกาศว่าภารกิจสำเร็จแล้ว

ภายหลังการก่อรัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางไปยังกรุงลอนดอน ซึ่งทางด้าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ได้ออกมาเตือนว่าการกลับประเทศของเขาอาจถูกมองว่าเป็น "ภัยคุกคาม" ด้วยเกรงว่าผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านอาจมีการปะทะกันในวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศ

คณะรัฐประหารยังได้มีการจับกุมนักการเมืองรัฐบาลทักษิณหลายคน คือ พล.ต.อ.ชิตชัย วรรณสถิตย์, นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งถูกคุมขังยังกองบัญชาการทหารบก นอกจากนี้ ยังได้มีคำสั่งเรียกตัวนายยงยุทธ ติยะไพรัชและนายเนวิน ชิดชอบซึ่งทั้งสองได้เข้ารายงานตัวเมื่อวันที่ 21 กันยายน และถูกควบคุมตัวไว้ ก่อนที่ทั้งหมด ยกเว้นนายสมชาย จะได้รับการปล่อยตัวภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2549

หลังจากนั้น คณะรัฐประหารเริ่มการสอบสวนข้าราชการซึ่งถูกแต่งตั้งในสมัยรัฐบาลทักษิณ และในการแต่งตั้งนายทหารประจำปี พ.ศ. 2550 นายทหารซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของระบอบใหม่ก็ถูกแต่งตั้งแทนที่นายทหารซึ่งภักดีต่อรัฐบาลเก่า และเมื่อวันที่ 20 กันยายน คณะรัฐประหารได้ประกาศว่าศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระอื่นซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับเก่าจะต้องถูกยกเลิกทั้งหมด[ต้องการอ้างอิง] อย่างไรก็ตาม สถานะของจารุวรรณ เมณฑกายังคงไม่เปลี่ยนแปลง และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจเงินแผ่นดินเพื่อตรวจสอบข้อกล่าวหาความไม่ชอบมาพากล รวมทั้งมีตั้งกรรมการขึ้นตรวจสอบรัฐบาลเก่า คือ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐในระหว่างนี้ ยังได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรใช้ปกครองประเทศต่อไป โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว จนเสร็จ และได้ให้ประชาชนออกเสียงลงประชามติ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผู้เห็นชอบคิดเป็นสัดส่วน 57.81% ของผู้มาใช้สิทธิ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยบังคับใช้เป็นกฎหมาย เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม

การดื้อแพ่งสมัยรัฐบาลสมัคร
จากผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 พบว่าพรรคพลังประชาชนได้รับเลือกมากที่สุด คือ 233 ที่นั่ง ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้อันดับรองลงมา คือ 165 ที่นั่ง นายสมัคร สุนทรเวชเริ่มวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551 และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ แต่ก็มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นรัฐบาลตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทันควันฝ่ายพันธมิตรฯเองก็เริ่มมองว่ารัฐบาลสมัครมีพฤติการณ์ที่ส่อถึงความทุจริตหลายอย่าง เช่น การยกปราสาทเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว และความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ

กลุ่มพันธมิตรฯ ได้กลับมาชุมนุมอีกครั้ง นับตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา ต่อมา กลุ่มพันธมิตรได้ทำการ "ดาวกระจาย" ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทวงถามการตรวจสอบทุจริตในรัฐบาลทักษิณ รวมทั้งเร่งรัดคดีการทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช และเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เคลื่อนกลุ่มผู้ชุมนุม 9 เส้นทางเพื่อยึดพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะย้ายกลับไปยังสะพานมัฆวานรังสรรค์ หลังจากมีคำสั่งของศาลแพ่งให้เปิดเส้นทาง


การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ หลังการบุกยึดทำเนียบรัฐบาล 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551ก่อนที่ กลุ่มพันธมิตรฯ จะเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ในวันต่อมา แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ 9 คน ถูกแจ้งความในความผิดข้อหากบฎ และได้มีการปะทะกับกลุ่ม นปช. ซึ่งมีการชุมนุมบริเวณท้องสนามหลวง จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทั้งสองฝ่าย จนมีผู้เสียชีวิต 1 คน นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช จึงประกาศการสถานการณ์ฉุกเฉินในวันเดียวกัน จนกระทั่งยกเลิกเมื่อวันที่ 14 กันยายน

การดื้อแพ่งสมัยรัฐบาลสมชาย
เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยให้นายสมัครพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในคดีจัดรายการ ชิมไปบ่นไป และ ยกโขยง 6 โมงเช้า ซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติต้องห้าม ต่อมา ได้มีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ผลปรากฏว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ได้รับเลือก และได้มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดแรก เมื่อวันที่ 24 กันยายน

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ชุมนนุมหน้าอาคารรัฐสภา เพื่อกดดันมิให้คณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันรุ่งขึ้น ตำรวจจึงได้เข้าสลายการชุมนุมเพื่อเปิดทางเข้าออกอาคารทั้งก่อนและหลังการประชุม จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีผู้เสียชีวิต 12 คน และได้รับบาดเจ็บมากกว่า 300 คน

ปลายเดือนพฤศจิกายนและต้นเดือนธันวาคม กลุ่มพันธมิตรฯ ได้บุกยึดท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ จนมีผู้โดยสารตกค้าง และสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของไทยเป็นอย่างมาก การชุมนุมดังกล่าวดำเนินไปจนถึงวันที่ 3 ธันวาคม ภายหลังพรรคพลังประชาชนถูกยุบและนายสมชายพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

การจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์
ภายหลังการพ้จากตำแหน่งของนายสมชาย ได้มีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ผลปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้รับคะแนนเสียงมากกว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอกทำให้การเมืองพลิกขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ได้จัตตั้งรัฐบาลผสม จากเดิมที่เป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลทักษิณ สมัครและสมชาย ในขณะที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบนักการเมืองเดิมจากพรรคพลังประชาชน รัฐบาลเก่า กลายเป็นฝ่ายค้านแทน โดยมีรายงานอย่างกว้างขวางว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก บีบบังคับให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชาชนย้ายมาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์

แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ และวุฒิสภาสรรหาโดยคณะรัฐประหาร กล่าวว่า "เป็นชัยชนะที่แท้จริงของกลุ่มพันธมิตรฯ" และเป็น "รัฐประหารสไตล์อนุพงษ์" นอกจากนี้ ผลของการขึ้นสู่อำนาจของนายอภิสิทธิ์ยังเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับชนชั้นสูงในกรุงเทพมหานคร กองทัพ และราชวัง การประท้วงและเหตุการณ์จลาจล เมษายน พ.ศ. 2552

กลุ่มนปช. บุกเข้าสถานที่จัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก
การชุมนุมของกลุ่ม นปช. บริเวณแยกดินแดง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (13 เมษายน 2552)ราวเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ถ่ายทอดภาพมายังกลุ่มผู้สนับสนุน และกล่าวอ้างว่า ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม เป็นผู้อยู่เบื้องหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และองคมนตรีบางท่าน คือ พล.อ.สุรยุทธ์ และ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ ได้ใช้อำนาจทหารค้ำตำแหน่งของนายอภิสิทธิ์ ทำให้กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้บุคคลดังกล่าวลาออกทั้งหมด

เมื่อวันที่ 7 เมษายน รถของนายอภิสิทธิ์ถูกกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ทุบจนกระจกแตก แต่นายอภิสิทธิ์สามารถหลบหนีไปได้ ในวันต่อมา กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มการชุมนุมครั้งใหญ่ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 100,000 คน และรวมตัวกันบริเวณทำเนียบรัฐบาลและรอยัลพลาซาการชุมนุมดังกล่าวได้ขยายตัวไปยังพัทยา ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออกครั้งที่สี่ ในขณะที่เดินทางไปยังสถานที่ประชุมนั้น กลุ่มนปช. ได้มีการปะทะกับกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินแต่ในที่สุด กลุ่มนปช. ก็สามารถบุกเข้าสถานที่ประชุม และทำให้การประชุมถูกยกเลิก นายอภิสิทธิ์จึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 11 เมษายน แต่ก็ได้ประกาศยกเลิกในวันเดียวกัน

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ การประท้วงเริ่มลุกลามในเขตกรุงเทพมหานคร จนเกิดเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล และประชาชนผู้อยู่อาศัยทั่วไป จนนายอภิสิทธิ์ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและพื้นที่โดยรอบอีกแห่งหนึ่ง และมีการกล่าวหากลุ่มผู้ประท้วงว่าเป็น "ศัตรูของชาติ" นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังออกพระราชกฤษฎีกาให้อำนาจแก่รัฐบาลในการเซ็นเซอร์การแพร่ภาพทางโทรทัศน์

เมื่อวันที่ 12 เมษายน ได้มีการจับกุมแกนนำนปช. ซึ่งบุกสถานที่ประชุมการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก เป็นวันเดียวกับที่กระทรวงมหาดไทย ได้ถูกปิดล้อมโดยกลุ่มผู้ชุมนุม และทุบทำลายรถของนายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีบางคนระหว่างเดินทางออก หลังจากนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมได้กีดขวางบริเวณทำเนียบรัฐบาล และสถานที่ราชการที่สำคัญ ตามรายงานระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 2 คนระหว่างการชุมนุม

วันที่ 13 เมษายน ทหารในเครื่องแบบเต็มชุดได้สลายการชุมนุมที่แยกดินแดง ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีผู้ได้รับบาดเจ็บราว 70 คน ส่วนทางกลุ่มนปช. ได้มีการกล่าวอ้างว่ามีผู้เสียชีวิต 1 คน จากกระสุนปืนของทหาร ส่วนฝ่ายกองทัพได้ออกมาปฏิเสธ ในวันเดียวกันยังได้มีการปิดสถานีดีสเตชัน และวิทยุชุมชนจำนวนมาก เนื่องจากต้องสงสัยว่าสนับสนุนกลุ่มนปช เหตุปะทะกันยังคงมีขึ้นในหลายจุดของกรุงเทพมหานคร และได้มีหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำนปช. อีก 13 คน

ในวันที่ 14 เมษายน แกนนำนปช. หลายคนยอมมอบตัว การชุมนุมจึงสงบลง แม้ว่าผู้ชุมนุมบางส่วนจะยังคงชุมนุมกันต่อไป สถานการณ์ฉุกเฉินมีผลจนถึงวันที่ 24 เมษายน นายกรัฐมนตรีจึงประกาศยกเลิก

สำหรับตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ: รัฐบาลระบุว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 120 คน ระหว่างการชุมนุม ในเวลาต่อมา ได้พบศพ นปช. 2 คน ลอยตามแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งทางตำรวจสรุปว่าเป็นการฆาตกรรมด้วยชนวนเหตุทางการเมือง กลุ่มนปช. กล่าวอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 6 คน แต่ศพได้ถูกฝ่ายทหารเอาไปซ่อน แต่ทางกองทัพปฏิเสธ

เหตุการณ์ลอบยิงสนธิ

บาดแผลถูกยิงที่ขมับขวาและหน้าอกของนายสนธิ และ รถที่ถูกกระสุนยิงแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกลอบยิงเมื่อเช้าวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552 โดยมือปืนได้ใช้อาวุธสงครามกราดยิงรถของนายสนธิกว่า 100 นัด นายสนธิและคนขับรถได้รับบาดเจ็บ[127] กลุ่มมือปืนดังกล่าวได้หลบหนีเมื่อผู้ติดตามของนายสนธิในรถอีกคันหนึ่งใช้ปืนเปิดฉากยิงใส่ นายสนธิถูกกระสุนเข้าที่ศีรษะ ก่อนจะได้รับการผ่าตัดในเข้ารักษาที่โรงพยาบาล[128] นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายของนายสนธิ กล่าวประณามว่าว่ามีทหารหรือคนในรัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว[129]

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว[130] และอ้างต่อไปว่าเขา นายอภิสิทธิ์ นายกรณ์ จาติกวาณิช รัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตกเป็นเป้าหมายของแผนการลอบสังหารด้วยเช่นกัน[131]

สำหรับสาเหตุของการลอบยิงนั้น นายสนธิกล่าวว่า เพราะ "ผมไปเปิดโปงสุภาพสตรีคนหนึ่ง ซึ่งในภาพแสดงออกว่าเป็นคนใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท" แต่มิได้ระบุว่าเป็นผู้ใด[132]

[แก้] ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญในรัฐบาลอภิสิทธิ์
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้

[แก้] ความเคลื่อนไหวจากต่างประเทศของทักษิณ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียไทยได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูลในส่วนนี้

[แก้] ดูเพิ่ม
บุคคลหลัก
ทักษิณ ชินวัตร
เปรม ติณสูลานนท์
สนธิ ลิ้มทองกุล
จำลอง ศรีเมือง
สุรยุทธ์ จุลานนท์
สมัคร สุนทรเวช
ชวลิต ยงใจยุทธ
สมชาย วงศ์สวัสดิ์
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ชวน หลีกภัย
สุเทพ เทือกสุบรรณ
เนวิน ชิดชอบ
กลุ่มบุคคล
คณะรัฐมนตรีคณะที่ 55 ของไทย
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
สมัชชาแห่งชาติ พ.ศ. 2549
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2549
กลุ่มคนเสื้อน้ำเงิน
เหตุการณ์/กระบวนการ
พฤษภาทมิฬเหตุการณ์ที่นักการเมืองไทยหลายคนพัวพัน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2548
การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2548
ปัญหาความขัดแย้งในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เบื้องหลังการแบ่งแยกดินแดน
คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 ยุบพรรคไทยรักไทยและพรรคเล็ก
เหตุการณ์ชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์
ศัพท์การเมืองไทย
การเมืองภาคประชาชน
การเมืองใหม่— แนวคิดของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
การดื้อแพ่งภาษาปากว่า "อารยะขัดขืน"
ศัพท์อื่น
คอมมิวนิสต์
ฟาสซิสต์
อหิงสา รูปแบบการประท้วงของมหาตมะ คานธี



ลำดับเหตุการณ์ กลุ่มบุคคล กระบวนการ และรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวเนื่อง
จุดเริ่มต้น

ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
กรณีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
ระบอบทักษิณ
ข้อกล่าวหาการทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ
กรณีการขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ป
เหตุการณ์หลัก

การชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
แผนฟินแลนด์
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549
กรณีการชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์
การชุมนุมของ พธม. 2551
กรณีปะทะกันของ นปก. กับ พธม. 2 กันยายน
การสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา 7 ตุลาคม
การบุกยึดท่าอากาศยาน
คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551
เหตุการณ์ความไม่สงบ เมษายน พ.ศ. 2552
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

พ.ศ. 2540 • พ.ศ. 2549 (ชั่วคราว) • พ.ศ. 2550 (การแก้ไข)

การเลือกตั้งและลงประชามติ

การเลือกตั้ง 2548 • การเลือกตั้ง เมษายน 2549 (โมฆะ) • การเลือกตั้ง ตุลาคม 2549 (ถูกยกเลิก) •
การลงประชามติ พ.ศ. 2550 • การเลือกตั้ง 2550

การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี

2548 • มกราคม 2551 • กันยายน 2551 • ธันวาคม 2551

คณะรัฐมนตรี

ทักษิณ 2 (คณะที่ 55) • สุรยุทธ์ 1 (คณะที่ 56) • สมัคร 1 (คณะที่ 57) • สมชาย 1 (คณะที่ 58) • อภิสิทธิ์ 1 (คณะที่ 59)

คณะรัฐประหารและองค์กรที่เกี่ยวเนื่อง

คณะรัฐประหาร • คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ • คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ •
สมัชชาแห่งชาติ พ.ศ. 2549 • สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2549 • สภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550

พรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองที่มีชื่อเสียง

พรรคการเมืองใหม่ • พรรคประชาธิปัตย์ • พรรคประชาราช (กลุ่มวังน้ำเย็น) •
พรรคเพื่อไทย (พรรคไทยรักไทย, พรรคพลังประชาชน, บ้านเลขที่ 111, บ้านเลขที่ 109) • พรรคภูมิใจไทย (พรรคมัชฌิมาธิปไตย, กลุ่มเพื่อนเนวิน)

กลุ่มผู้ชุมนุม

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย • แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน • กลุ่มคนเสื้อน้ำเงิน