วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ตราสัญลักษณ์ของมหาลัยธรรมศาสตร์




























คณะที่ชอบ ศิลปศาสตร์


คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นส่วนราชการไทยระดับคณะวิชา สังกัดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2504 มีภารกิจเบื้องต้นในการจัดการเรียนการสอนวิชาพื้นฐานให้แก่นักศึกษาทุกคณะในมหาวิทยาลัยก่อนจะเลือกเข้าศึกษาแขวงวิชาเฉพาะด้านสำหรับคณะตน
คณะศิลปศาสตร์ได้จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ตาม พระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 78 ตอนที่ 106 วันที่ 19 ธันวาคม 2504 โดยให้เหตุผลในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า "เพื่อให้นักศึกษาชั้นปริญญาตรีมีความรู้ภาษาต่างประเทศและความรู้ทั่วไปในด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ให้สูงเพียงพอก่อนที่จะเข้าศึกษาแขนงวิชาเฉพาะด้าน ซึ่งจัดสอนอยู่ในคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" ( ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 78 ตอนที่ 106 วันที่ 19 ธันวาคม 2504 )
การจัดตั้งคณะศิลปศาสตร์ในครั้งนั้นมีจุดมุ่งหมาย 2 ประการคือ
1.เพื่อจัดสอนวิชาความรู้พื้นฐานทั่วไปทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และวิทยาศาสตร์แก่นักศึกษาชั้นปริญญาตรีทุกคนของมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษามีความรู้ความเข้าใจอย่างกว้างขวางในสภาพแวดล้อม ทางธรรมชาติและสังคม ตลอดจนมีความเข้าใจในเรื่องจิตใจมนุษย์ เห็นความต่อเนื่องของวิทยาการแขนงต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดวิจารณาญาณอันดี สามารถนำความรู้เฉพาะด้านในแขนงที่ตนศึกษาไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมให้ ดียิ่งขึ้น
2.เพื่อเปิดสอนจนถึงระดับปริญญาสาขาต่างๆทางด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ที่ยังมิได้มีการจัดสอนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือที่มีการจัดสอนแล้วแต่ยังไม่ถึงขึ้นประสาทปริญญา
ฟฟฟฟฟจึงอาจกล่าวได้ว่าคณะศิลปศาสตร์มีปรัชญาการกำเนิดจากหลักสูตรวิชาพื้นฐานทั่วไป และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว คณะศิลปศาสตร์ได้เริ่มจัดการเรียนการสอนในปี พ.ศ. 2505 โดยกำหนดให้นักศึกษาที่เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทุกคนต้องศึกษาในคณะศิลปศาสตร์ ก่อนใน 2 ปีแรก โดยศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป ซึ่งประกอบด้วยหมวดวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ ก่อนเข้าศึกษาในแขนงวิชาเฉพาะด้านในชั้นปีที่ 3 ซึ่งจัดสอนอยู่ในคณะต่างๆ ในขณะนั้นคือ แขนงวิชานิติศาสตร์ พาณิชยศาสตร์และบัญชี รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ฟฟฟฟฟนอกจากการเปิดสอนหลักสูตรวิชาพื้นฐานทั่วไปในปี พ.ศ. 2505 แล้วคณะศิลปศาสตร์ยังได้ปิดสอนระดับปริญญาตรีโดยได้ผลิตบัณฑิตรุ่นแรกของคณะศิลปศาสตร์ในปี พ.ศ. 2508 จำนวน 71 คน จากสาขาวิชาต่างๆ ดังนี้
1. สาขาคณิตศาสตร์ 2. สาขาบรรณารักษศาสตร์ 3. สาขาวิชาประวัติศาสตร์ 4. สาขาวิชาภาษาศาสตร์ 5. สาขาวิชาสถิติ
aaaaaต่อมา คณะศิลปศาสตร์ได้มีการเปิดสอนระดับปริญญาตรีสาขาวิชาต่างๆเพิ่มขึ้นตามลำดับดังนี้
สาขาวิชา
ปีที่เปิดสอน 1. จิตวิทยา 2507 2. ภาษาและวรรณคดีอังกฤษ 2509 3. ภาษาอังกฤษ 2513 4. ภาษาญี่ปุ่น 2514 5. ปรัชญา 2514 6. ภูมิศาสตร์ 2514 7. ภาษาเยอรมัน 2514 8. ภาษาฝรั่งเศส 2514 9. ภาษาไทย 2515 10. ภาษาจีน 2515 11. ภาษารัสเซีย 2518 12. การละคอน ปัจจุบันสาขาวิชาการละคอนได้โอนไปอยู่ในความรับผิดชอบของ โครงการจัดตั้งคณะศิลปกรรมศาสตร ์ 13. ศาสนา 2525
อนึ่ง คณะศิลปศาสตร์ยังได้เปิดสอนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาเลือก และในปี พ.ศ. 2529 สาขาวิชาคณิตศาสตร์ สาขาวิชาสถิติ และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ได้โอนไปสังกัดคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและดำเนิน การเรียนการสอน ณ ศูนย์รังสิต
สำหรับในระดับบัณฑิตศึกษานั้น คณะศิลปศาสตร์ได้เปิดสอนครั้งแรกในปี พ.ศ. 2527 จำนวน 2 หลักสูตร คือ 1.หลักสูตรปริญญาโทสาขาวิชาภาษาศาสตร์ (ภาษาไทย) 2.สาขาวิชาประวัติศาสตร์ และต่อมาได้มีการเปิดสอนในระดับบัณฑิตศึกษาเพิ่มขึ้นดังนี้
สาขาวิชา
ปี่ที่เปิดสอน 1. บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ 2529 2. จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ในปี 2543 ได้ปรับเปลี่ยนเป็นโครงการพิเศษ (เลี้ยงตัวเอง) 2532 3. ประกาศนียบัตรบัณฑิตทางการแปล ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 2532 4. ประกาศนียบัตรบัณฑิตการแปลภาษาไทยและภาษาฝรั่งเศส ( ปัจจุบันได้ปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตทางการแปลภาษาไทยและ ภาษาฝรั่งเศสและเปิดสอนหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาการแปลภาษาฝรั่งเศส-ไทยแทน ตั้งแต่ปีการศึกษา 2536 ) 2532 5. ฝรั่งเศสศึกษา 2536 6. จิตวิทยาการปรึกษา 2539 7. ญี่ปุ่นศึกษา 2540 8. พุทธศาสนศึกษา 2540 9. ภาษาไทย 2543 10. ภาษาและวรรณคดีอังกฤษ 2543
สาขาวิชา
ปัจจุบันคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการสอนหลากหลายสาขาวิชา ประกอบไปด้วย 14 สาขาวิชา 4 โครงการพิเศษ ดังนี้ หลักสูตรปริญญาตรี
กลุ่ม
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สถิติ จิตวิทยา ภูมิศาสตร์ (ปัจจุบันมีสอนเฉพาะภูมิศาสตร์ และจิตวิทยา)
กลุ่มภาษา ได้แก่
ภาษาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเยอรมัน ภาษารัสเซีย และภาษาและวรรณคดีอังกฤษ
สาขา
ปรัชญาและศาสนา
สาขา
ประวัติศาสตร์
สาขา
บรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์
โครงการ
อังกฤษและอเมริกันศึกษา หลักสูตรนานาชาติ (British & American Studies)
โครงการ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา
โครงการ
รัสเซียศึกษา
โครงการภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารธุรกิจ หลักสูตรนานาชาติ
(Business English Communication) หรือ BEC
หลักสูตรสาขาวิชาโทศาสนา ภาควิชาปรัชญา
หลักสูตรสาขาวิชาโทสเปนและละตินอเมริกันศึกษา ภาควิชาประวัติศาสตร์
หลักสูตรปริญญาโทใน 12 สาขาวิชาคือ
1. สาขาวิชาภาษาไทย
2. สาขาวิชภาษาและวรรณคดีอังกฤษ
3. สาขาวิชาฝรั่งเศสศึกษา
4. สาขาวิชาการแปลภาษาฝรั่งเศส-ไทย
5. สาขาวิชาญี่ปุ่นศึกษา
6. สาขาวิชาประวัติศาสตร์
7. สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา
8. สาขาวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กร
9. สาขาวิชาภาษาศาสตร์เพื่อการสื่อสาร
10. สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา
11. สาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์
12. สาขาวิชาการแปลภาษาอังกฤษ-ไทย
หลักสูตรปริญญาเอกใน 1 สาขาวิชาคือ
1. สาขาวิชาภาษาศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์แบ่งกลุ่มนักศึกษาหรือที่เรียกว่า"โต๊ะ"ออกเป็น 6 กลุ่ม ตามสัญลักษณ์ของคณะศิลปศาสตร์ ดังนี้ 1. จิ๊งหน่อง 2. ลานโพธิ์ 3. สวนศิลป์ 4. จอว์ 5. ลายสือ 6. น้ำพุ เพื่อสะดวกในการให้คำแนะนำหรือให้ปรึกษา การทำกิจกรรมก่อให้เกิดความคุ้นเคยสนิทสนมกลมเกลียวกันระหว่าง"เพื่อนใหม่" ซึ่งเป็นอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยที่ผู้ที่เข้ามาศึกษา ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีความเท่าเทียมกัน ไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้อง เราคือเพื่อนกัน


พ่อและแม่อยากให้เรียนคณะนี้มากๆเพราะข้าพเจ้าชอบเรียนภาษาและที่เรียนอยู่ก็เรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่วิชานี้มันก็ไม่ยากไม่ง่ายมันต้องอยู่ที่ความตั้งใจของแต่ละบุคคล








































วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ชอบที่สุด^^

ช๊อบ ชอบ แมนยูที่สุด




















































ประวัติ แมนยู
ประวัติ ก่อตั้ง : 1878 สโมสรอาชีพ : 1885 ชื่อเดิม : 1878-1880 นิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์ 1880-1902 นิวตัน ฮีธ ชื่อเล่น : The Red Devils สนาม : โอลด์ แทรฟฟอร์ด สนามเดิม : 1880-1893 นอร์ธ โร้ด, มอนซอลล์ 1893-1910 แบงค์ สตรีท, เคลย์ตัน 1910-1941 โอล์ด แทรฟฟอร์ด 1941-1949 เมน โร้ด ความจุสนาม : 76,000 ขนาดสนามแข่ง : 116 หลา x 76 หลา ผู้ชมสูงสุด : 75,828 v ลิเวอร์พูล, พรีเมียร์ชิพ, 22 ตุลาคม 2006นักเตะที่ซื้อด้วยค่าตัวสูงสุด : 30 ล้านปอนด์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, ลีดส์, กรกฎาคม 2002นักเตะที่ขายด้วยค่าตัวสูงสุด : 25 ล้านปอนด์, เดวิด เบ็คแฮม, เรอัล มาดริด, กรกฎาคม 2003 ดาวซัลโวสูงสุดในลีก : เดนนิส ไวโอเล็ต 32 ประตู, ดิวิชั่น 1, 1959-60 ข้อมูลเบื้องต้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอาจจะเป็นทีมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอังกฤษ พวกเขาก่อตั้งขึ้นในปี 1878 ในฐานะทีมนิวตัน ฮีธและได้รับเลือกให้เข้าไปเล่นในดิวิชั่น 1 เมื่อปี 1892 ช่วงยุคก่อสงครามโลกพวกเขานำแชมป์เข้าสู่โอลด์ แทรฟฟอร์ดได้สองครั้ง และได้แชมป์เอฟเอคัพในปี 1909 แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นกว่าเดิมมากภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการทีมสองคน คนแรกคือเซอร์แมตต์ บัสบี้ ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งในปี 1945 และนำทีมคว้าแชมป์ลีกได้ 5 สมัยและแชมป์เอฟเอคัพ 2 สมัย โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นกับแมนฯยูฯในปี 1958 เมื่อทีมพลังหนุ่มของพวกเขาซึ่งเป็นที่รู้จักในฉายา “บัสบี้เบบส์” ประสบเคราะห์กรรมจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่มิวนิคในระหว่างเดินทางกลับจากการแข่งขันฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพที่เบลเกรด บัสบี้เองก็เกือบจะเสียชีวิตไปในเหตุการณ์ที่น่าเศร้าครั้งนี้ และทีมของเขา ซึ่งดูเหมือนจะผูกขาดความยิ่งใหญ่ในฟุตบอลอังกฤษได้ต่อไปอีกหลายปี ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปอย่างไรก็ตาม 10 ปีหลังจากนั้นเขาก็นำทีมใหม่ที่ประกอบด้วยนักเตะผู้ยิ่งใหญ่อย่างบ๊อบบี้ ชาร์ลตันและจอร์จ เบสต์ กลายเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ ด้วยการชนะเบนฟิก้า 4-1 ในนัดชิงชนะเลิศ ผู้จัดการทีมชื่อดังหลายคนอย่างเช่นทอมมี่ ด็อคเคอร์ตี้และรอน แอตกินสันเข้ามาคุทีมต่อหลังจากนั้น แต่ไม่มีใครสามารถนำแชมป์ลีกกลับสู่โอลด์ แทรฟฟอร์ดได้อีกเลย อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือชาวสกอตแลนด์ ได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีมเมื่อปี 1986 และเริ่มต้นด้วยการทำท่าเหมือนว่าเขาจะเดินตามรอยของกุนซือคนก่อนๆ อย่างไรก็ตาม แชมป์เอฟเอคัพในปี 1990 ก็เป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาที่ดีที่ตามมาด้วยการคว้าแชมป์คัพวินเนอร์สคัพในปีถัดไป ในปี 1992 แมนฯยูฯถูกลีดส์ ยูไนเต็ดแย่งแชมป์ไปต่อหน้าต่อตาจากการพลาดเองในช่วงท้าย แต่ในที่สุดแชมป์พรีเมียร์ลีกก็ทำให้พวกเขาได้ครองแชมป์ลีกอีกครั้งหลังจากรอคอยมานาน 26 ปี ฤดูกาลถัดไปแมนฯยูฯทำได้ดีขึ้นไปอีกด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ไปครอง (ชนะเชลซี 4-0 ในเอฟเอคัพนัดชิงชนะเลิศ) พวกเขาเป็นทมแรกที่ทำ “ดับเบิ้ล” ดับเบิ้ลแชมป์ได้ในปี 1996 เมื่อเฟอร์กูสันยังคงนำความสำเร็จเข้าสู่โอลด์ แทรฟฟอร์ดได้อย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าแค่นั้นยังไม่พอ ในฤดูกาล 1998/99 พวกเขาประสบความสำเร็จในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน นั่นคือการทำทริปเปิ้ลแชมป์ทั้งฟุตบอลลีก, เอฟเอคัพ และยูโรเปี้ยนคัพความสำเร็จดังกล่าวทำให้เฟอร์กูสันได้รับบรรดาศักดิ์ชั้นอัศวิน และเขาก็สานต่องานของตัวเองต่อไปด้วยการคว้าแชมป์ลีกอีกสองสมัยติดต่อ เมื่อเขาประกาศว่าจะวางมือหลังจบฤดูกาล 2002/03 ดูเหมือนยุคแห่งความรุ่งโรจน์ในฟุตบอลอังกฤษของทีมกำลังจะมาถึงจุดสิ้นสุด และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตก็ส่งผลให้แมนฯยูฯจบในอันดับที่แย่ที่สุดในพรีเมียร์ชิพของพวกเขา นั่นคืออันดับสาม เมื่อถึงตอนนั้นเฟอร์กูสันได้เปลี่ยนใจและทำหน้าที่กุมบังเหียนทีมต่อไปจนกลับมาเป็นแชมป์ได้ในปีถัดไป นับจากนั้นพวกเขาก็ต้องตกอยู่ใต้ร่มเงาความยิ่งใหญ่ของทีมเศรษฐีอย่างเชลซี ขณะที่การเข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรของมัลคอล์ม เกลเซอร์ก็ทำให้แฟนบอลมีเหตุผลที่จะกังวลเกี่ยวกับอนาคตของทีมได้ แต่แมนฯยูฯก็กลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ด้วยการคว้าแชมป์ลีกสองสมัยซ้อนในฤดูกาล 2006-07 และ 2007-08 รวมถึงแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาล 2007-08 ด้วยเกียรติประวัติ แชมป์พรีเมียชิพ 1992-93 1993-94 1995-96 1996-97 1998-99 1999-00 2000-01 2002-03 2006-07 2007-08 แชมป์ดิวิชั่น 1 1907-08 1910-11 1951-52 1955-56 1964-65 1966-67 แชมป์เอฟเอคัพ 1909 1948 1963 1977 1983 1985 1990 1994 1996 1999 2004 แชมป์ลีกคัพ 1992 2006 แชมป์คัพวินเนอร์สคัพ 1990-91 แชมป์ยูโรเปี้ยนส์คัพ 1967-69 1998-99 2007-08 แชมป์ซูเปอร์คัพ 1991 แชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1999 ผู้จัดการทีม เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเริ่มคุมทีม : 6 พฤศจิกายน 1986 เกิด : 31 ธันวาคม 1941 สโมสรเดิม : อเบอร์ดีน เกียรติประวัติ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2007-08 แชมป์พรีเมียร์ชิพ, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2006-07 แชมป์พรีเมียร์ชิพ 2005-06 แชมป์ลีกคัพ 2003-04 แชมป์เอฟเอคัพ 2002-03 แชมป์พรีเมียร์ชิพ 2000-01 แชมป์พรีเมียร์ชิพ 1999-00 แชมป์พรีเมียร์ชิพ 1998-99 แชมป์พรีเมียร์ชิพ, แชมป์เอฟเอคัพ, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1996-97 แชมป์พรีเมียร์ชิพ 1995-96 แชมป์พรีเมียร์ชิพ, แชมป์เอฟเอคัพ 1993-94 แชมป์พรีเมียร์ชิพ, แชมป์เอฟเอคัพ 1992-93 แชมป์พรีเมียร์ชิพ 1991-92 แชมป์ลีกคัพ 1990-91 แชมป์คัพวินเนอร์สคัพ 1989-90 แชมป์เอฟเอคัพ อเบอร์ดีน 1985-86 แชมป์สกอตติชคัพ, แชมป์สกอตติชลีกคัพ 1984-85 แชมป์สกอตติพรีเมียร์ลีก 1983-84 แชมป์สกอตติชพรีเมียร์ลีก, แชมป์สกอตติชคัพ 1982-83 แชมป์สกอตติชคัพ, แชมป์คัพวินเนอร์สคัพ 1981-82 แชมป์สกอตติชคัพ 1979-80 แชมป์สกอตติชพรีเมียร์ลีก เซนต์ เมอร์เรน 1976-77 แชมป์ดิวิชั่น 1 สกอตแลนด์


























































วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แปลกดีนะ

1. เครื่องเทศแพงที่สุดในโลก - แซฟฟรอน



แซฟฟรอน เป็นเครื่องเทศที่ได้มาจากเกสรตัวเมีย (สีแดงอมส้ม) ของดอกแซฟฟรอน โครคัส ซึ่งแต่ละดอกจะมีเพียง 3 เกสรเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การที่จะผลิตแซฟฟรอนแห้งให้ได้น้ำหนักเพียง 1 ปอนด์ (0.45 ก.ก.) จะต้องใช้ดอกแซฟฟรอน โครคัส มากถึง 50,000-75,000 ดอก หรือปริมาณมากเท่ากับ 1 สนามฟุตบอลเลยทีเดียว ดอกโครคัส พบได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก อาทิ ประเทศสเปน กรีซ อิหร่าน อินเดีย โมร็อกโก เป็นต้น แต่ประเทศที่ผลิตเครื่องเทศแซฟฟรอนได้มากที่สุดในโลกก็คือ อิหร่าน ซึ่งคิดเป็นส่วนมากถึง 94 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการผลิตทั่วโลก ประเทศที่นิยมใช้แซฟฟรอนเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารได้แก่ อิหร่าน และประเทศอาหรับอื่นๆ รวมถึงประเทศในแถบเอเชียกลาง อินเดีย ตุรกี ยุโรป ฯลฯ ราคาขายส่งและขายปลีกของเครื่องเทศชนิดนี้อยู่ที่ระหว่าง 500-5,000 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งปอนด์ (ราว 17,000-170,000 บาท/0.45 ก.ก) หรือ 1,100-11,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ราว 37,400 - 374,000 บาท/ก.ก.)


2. ถั่วแพงที่สุดในโลก










ถั่วที่มีราคาแพงที่สุดในโลก คือ ถั่วแมคคาเดเมีย ถั่วชนิดนี้จะให้ผลผลิตต่อเมื่อมีอายุตั้งแต่ 7-10 ปีขึ้นไป ซึ่งการปลูกให้ได้ผลผลิตที่ดีนั้นจะต้องหมั่นคอยดูแลใส่ปุ๋ย และปลูกในที่ๆ มีฝนตกชุก ถั่วชนิดนี้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน โดยมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศออสเตรเลียมากถึง 7 สายพันธุ์ ที่นิว คาเลโดเนีย 1 สายพันธุ์ และ ที่เมืองสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย อีก 1 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่มีความสำคัญและมีมูลค่าในเชิงการค้ามากที่สุดมีเพียง 2 สายพันธุ์ คือ Macadamia integrifolia และ Macadamia tetraphylla ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในรัฐนิวเซาธ์ เวลส์ และควีนสแลนด์ ของประเทศออสเตรเลีย ไร่แมคคาเดเมียที่ปลูกขึ้นเพื่อการค้าเป็นครั้งแรก เกิดขึ้นในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1880 (พ.ศ. 2423) ในรัฐนิวเซาธ์ เวลส์ ของประเทศออสเตรเลีย อีก 2 ปีต่อมาได้มีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์แมคคาเดเมียจากออสเตรเลียไปทดลองปลูกที่ ฮาวาย และเริ่มมีการปลูกแมคคาเดเมียในเชิงการค้าที่นั่นอย่างจริงจังนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) เป็นต้นมา นอกจาก ออสเตรเลีย และฮาวายแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆ ที่ปลูกแมคคาเดเมียเป็นพืชเศรษฐกิจอีก ได้แก่แอฟริกาใต้ บราซิล สหรัฐอเมริกา (แคลิฟอร์เนีย) คอสตา ริก้า อิสราเอล เคนย่า โบลิเวีย นิวซีแลนด์ และมาลาวี โดยมีออสเตรเลียเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก สำหรับราคาขายของถั่วชนิดนี้จะอยู่ที่มากกว่า 30 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (มากกว่า 1 พันบาท/ก.ก.)




3. ไข่ปลาคาเวียร์แพงที่สุดในโลก - เบลูก้า คาเวียร์










ปลา "เบลูก้า สเตอเจี้ยน" มีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเลแคสเปียน ซึ่งเป็นทะเลปิดที่อยู่ระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปยุโรป อันเป็นพรมแดนของประเทศรัสเซีย อาเซอร์ไบจาน อิหร่าน เติร์กเมนิสถาน และประเทศคาซัคสถาน บางครั้งอาจพบปลาดังกล่าวอาศัยอยู่ในแถบทะเลดำ นานๆ ครั้งจึงโผล่ให้เห็นบ้างในทะเลอาเดรียติก ปลาชนิดนี้จะถือว่าโตเต็มที่พร้อมให้ผลผลิต (ไข่) เมื่อมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ไข่ปลาคาเวียร์แพงที่สุดในโลก ไม่ได้มีสีดำอย่างที่หลายท่านคุ้นเคย แต่เป็นชนิดที่มีสีเทาอ่อนๆ ไล่ลงมาจนเกือบขาวตามอายุของปลา ยิ่งปลาอายุมากไข่ก็จะมีสีอ่อนลง และมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ไข่ปลาคาเวียร์อัลมาส (ภาษาเปอร์เซี่ยนแปลว่า "เพชร") ที่ได้มาจากปลา "เบลูก้า สเตอเจี้ยน" อายุหนึ่งร้อยปีขึ้นไป ถือเป็นไข่ปลาคาเวียร์ที่หายากที่สุด และมีราคาแพงที่สุด โดยมีราคาสูงถึงเกือบ 25,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ประมาณ 850,000 บาท/ก.ก.) ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของเบลูก้า คาเวียร์ โดยทั่วไปในปัจจุบันจะอยู่ที่ 7,000 - 10,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ราว 2.38 -3.4 แสนบาท/ก.ก.)






4. เห็ดแพงที่สุดในโลก - ทรัฟเฟิลขาว






เห็ดที่มีราคาแพงที่สุดในโลกคือ เห็ดทรัฟเฟิลขาว ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบ Langhe แห่งแคว้นปีเอมอนเต ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ในอดีตคนเก็บเห็ดทรัฟเฟิลจะใช้หมูช่วยดมกลิ่นค้นหา แต่ระยะหลังๆ มักนิยมใช้สุนัขมากกว่า เพราะสุนัขจะไม่กินเห็ดเหมือนหมู เห็ดชนิดนี้มีราคาขายสูงถึง 1,700 - 3,800 ยูโร ต่อ 1 ก.ก. (ราว 82,000 - 183,502 บาท/ก.ก) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เห็ดทรัฟเฟิลสีขาว น้ำหนัก 1.08 กก. จากอิตาลี ถูกนายสแตนลีย์ โฮ มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจคาสิโนในมาเก๊า ประมูลไปในราคาสูงถึง 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.8 ล้านบาท แต่สถิติเห็ดทรัฟเฟิลขาวราคาสูงสุดที่มีการบันทึกไว้ คือ 330,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 11 ล้านบาท ซึ่งนายสแตนลีย์ โฮ เจ้าเก่า เป็นผู้ชนะประมูลเมื่อปี ค.ศ. 2007







5. มันฝรั่งแพงที่สุดในโลก - La Bonnotte







มันฝรั่งราคาแพงที่สุดในโลก คือ “La Bonnotte” ปลูกได้เฉพาะบนเกาะนีวร์มูทีเยของประเทศ ฝรั่งเศสเท่านั้น แถมปีหนึ่งๆ ยังเก็บเกี่ยวได้เพียง 10 วัน ทั้งยังบอบบางมากเสียจนต้องใช้มือถอน และให้ผลผลิตเพียงปีละ 20,000 ก.ก. ด้วยเหตุนี้มันฝรั่งที่ว่าจึงมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละกว่า 2.3 หมื่นบาทเลยทีเดียว








6. เนื้อแพงที่สุดในโลก - เนื้อที่มาจากวัววากิว (Wagyu) ประเทศญี่ปุ่น


















เนื้อแพงที่สุดในโลก คือ เนื้อที่มาจากวัววากิว (Wagyu) ประเทศญี่ปุ่น วัววากิวถือเป็นวัวพื้นเมืองที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน ชาวญี่ปุ่นจะเลี้ยงดูวัวเหล่านี้อย่างดีเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการให้หญ้าพันธุ์ดี ธัญพีช ฟาร์มบางแห่งถึงขนาดมีการนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้วัว หรือไม่ก็ผสมสาเก หรือเบียร์ ลงไปในอาหาร เนื้อวัวหลายชนิดที่คนรักเนื้อในบ้านเรารู้จักกันดีอย่างเช่น เนื้อโกเบ และมัตสึซากะ ฯลฯ ก็มาจากวัววากิวเช่นกัน แต่สาเหตุที่เรียกชื่อต่างกันเป็นเพราะว่าเลี้ยงกันคนละเมือง (เนื้อโกเบ มาจากฟาร์มในเมืองโกเบ ส่วนเนื้อมัตสึซากะมาจากฟาร์มในเมือง มัตสึซากะ เป็นต้น) เนื้อจากวัววากิวมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และไขมันต่ำ รสชาติอร่อย นุ่มลิ้น ราวกับละลายในปาก จึงมีราคาสูงมาก - ที่ยุโรปเนื้อจากวัววากิวน้ำหนักประมาณ 200 กรัม มีราคาขายสูงกว่า 34,000 บาท










7. แซนด์วิชแพงที่สุดในโลก - คลับแซนด์วิช "von Essen Platinum"










นี่คือโฉมหน้าแซนด์วิช "แพงที่สุดในโลก" ฝีมือนายเจมส์ พาร์คินสัน หัวหน้าเชฟของโรงแรมหรู "von Essen" ในเมืองเบิร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ หลังจากสังเกตุส่วนผสมของแซนด์วิชในโรงแรมหรูห้าดาวทั่วโลกที่เขาได้มีโอกาส ไปเยี่ยมเยียน เขาจึงคิดรวบรวมส่วนผสมที่ดีที่สุดของแซนด์วิชในแต่ละโรงแรมมาไว้ในอันเดียว กัน ด้วยเหตุนี้ “von Essen Platinum Club Sandwich” ของเขาจึงกลายเป็นคลับแซนด์วิชแพงที่สุดในโลก ซึ่งมีทั้งหมด 3 ชั้น ประกอบด้วยส่วนผสมหลักคือ เนื้อไก่อย่างดี (พันธุ์ poulet de Bresse ของฝรั่งเศส) แฮม Iberian ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแฮมหายากคุณภาพเยี่ยมจากประเทศสเปน เห็ดทรัฟเฟิลขาวและมะเขือเทศจากประเทศอิตาลี ไข่นกกระทาต้มสุก และขนมปังที่ผลิตจากแป้งชนิดพิเศษ แซนด์วิช "von Essen Platinum" ของเชฟพาร์คินสัน จำหน่ายในราคาอันละ 100 ปอนด์ หรือกว่า 5.5 พันบาท ถ้าใครอยากลองทานว่าจะเด็ดสักแค่ไหน ก็ไปพิสูจน์ได้ที่ภัตตาคาร "Cliveden’s Waldo" ของโรงแรม "von Essen"











8. พิซซ่าแพงที่สุดในโลก - พิซซ่า Luis XIII





































พิซซ่าที่แพงสุดในโลก คือ พิซซ่า "Louis XIII" ฝีมือเชฟหนุ่มชาวอิตาลีที่ชื่อ "เรนาโต้ วิโอล่า" พิซซ่า "Louis XIII" มีขนาด 8 นิ้ว ก่อนทำต้องใช้เวลาในการเตรียมแป้งเป็นเวลานานถึง 72 ช.ม. ขณะที่ท็อปปิ้งหรือหน้าพิซซ่าล้วนมาจากส่วนผสมคุณภาพเยี่ยม อาทิ ชีส mozzarella di bufala ไข่ปลาคาเวียร์ 3 ชนิด กุ้งล็อบสเตอร์จาก Cilento (ในอิตาลี) และประเทศนอร์เวย์ โรยหน้าด้วยเกลือสีชมพูที่มาจากแม่น้ำ Murray ในประเทศออสเตรเลีย ฯลฯ "เรนาโต้ วิโอล่า"
พิซซ่าแพงสุดในโลก "Louis XIII" จำหน่ายในราคาอันละ 8,300 ยูโร หรือเกือบ 4 แสนบาท (ราคานี้รวมค่าตัวเชฟและผู้ช่วยอีก 2 คน ที่จะหอบข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆ ไปทำพิซซ่าถึงบ้านลูกค้า)













9. ออมเล็ตแพงที่สุดในโลก - ออมเล็ตของภัตตาคาร Le Parker Meridien ในกรุงนิวยอร์ค









































"ออมเล็ต" หรือไข่คน แพงที่สุดในโลกหารับประทานได้ที่ภัตตาคาร "Le Parker Meridien" ในกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ที่นั่นเขาขายออมเล็ต (ภาพบน) จานละ 1,000 เหรียญ หรือประมาณ 34,000 บาท ประกอบด้วยส่วนผสมหลัก ได้แก่ ไข่ปลาคาเวียร์ (sevruga) น้ำหนัก 10 ออนซ์ กุ้งล็อบสเตอร์ทั้งตัว และไข่อีก 6 ฟอง เป็นต้น (เขาว่าถ้านำส่วนผสมทั้งหมด มาทำเองที่บ้าน ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ราวๆ 700 เหรียญ หรือประมาณ 23,800 บาท)














10.ขนมหวานแพงที่สุดในโลก - ไอศครีม ซันเด ของร้าน Serendipity 3 ในแมนฮัตตัน















































ไอศครีมช็อคโกแลตซันเด ถ้วยนี้ ได้รับการจดบันทึกลงในกินเนสบุ้ค ออฟ เวิล์ด เรคคอร์ด ว่าเป็น "ขนมหวานแพงที่สุดในโลก" มีจำหน่ายที่ร้าน Serendipity 3 ในแมนฮัตตัน กลางกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ด้วยสนนราคาถ้วยละ 25,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 850,000 บาท “Frrrozen Haute Chocolate” คือ ชื่อของช็อคโกแลต ซันเดแพงระยับถ้วยนี้ ส่วนสาเหตุที่มีราคาแพงเนื่องมาจากไอศครีมมีส่วนผสมของโกโก้พันธุ์ดีและหา ยากมากๆ จำนวน 28 ผล (ในจำนวนนี้มีอยู่ 14 ผลที่เป็นโกโก้ชนิดแพงที่สุด) และทองคำ 23 เค ชนิดทานได้ น้ำหนัก 5 กรัม ไอศครีมดังกล่าวจะถูกบรรจุลงในถ้วยทองคำ ที่มีแผ่นทองคำชนิดทานได้รองอยู่ภายในถ้วย นอกจากนี้บริเวณฐานของถ้วยไอศครีมยังตกแต่งด้วยสร้อยทอง 18 เค พร้อมกับเพชรแท้สีขาวอีก 1 กะรัต เท่านั้นยังไม่พอ ไอศรีมถ้วยนี้ยังถูกแต่งหน้าด้วยวิปครีม โรยทับอีกชั้นด้วยทองคำ ประดับด้วยช็อคโกแลต "La Madeline au Truffle" จากร้าน Knipschildt Chocolatier ที่ขายในราคาปอนด์ละ 2,500 เหรียญ (85,000 บาท/0.45 กก.) สำหรับช้อนทองที่เห็นในภาพว่าประดับด้วยเพชรสีขาวและสีช็อคโกแลต ลูกค้าสามารถนำกลับไปดูเล่นที่บ้านได้ ... แต่ถ้วยและสร้อยทองคล้องเพชร 1 กะรัตห้ามเอาไป ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ออกจากร้านแน่นอน * หมายเหตุ อาจมีการทำลายสถิติเกิดขึ้นได้
































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































ที่มา http://www.kommun.com/























































































































































































































































































































































































































































































































































วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องของฉัน

เรื่องของฉัน





















































































































































































































ประวัติส่วนตัว
ชื่อ น.ส.เมธีรา แก้วมณี



ชื่อเล่น หมูแดง



บิดาชื่อ นาย ธนกฤต แก้วมณี

-พ่อของฉันเป็นคนที่ใจดีกับฉันมากๆฉันรักพ่อของฉันมากและในวันพ่อปีนี้ฉันก็ได้



กรอบเท้าพ่อฉันรู้สึกตื่นเต้นมากๆและรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นลูกของพ่อกับแม่



มารดาชื่อ นาง ตวงตวงพร แก้วมณี

-แม่ของฉันเป็นคนคนหนึ่งที่ทำอาหารอร่อยมากๆและใจดีมากเช่นกันและตามใจฉันเป็นบางอย่าง



ศึกษาอยู่ที่ ร.ร. กาญจนาภิเษกวิทยาลัย สุพรรณบุรี



อยู่ชั้น ม.4/6 เลขที่ 33





เกิดวันที่ 18 กันยายน 2536 อายุ16 ปี





บ้านเลขที่ 133 ม.7 ต.บางตาเถร อ. สองพี่น้อง จ. สุพรรณบุรี 72110





e-mail moodang_freestyle@hotmail.com





นิสัย ร่าเริง ยิ้มง่าย คุยด้วยแล้วสบายใจ





คติประจำใจ ฝันให้ไกล ไปให้ถึง





อาหารที่ชอบ



-ก๋วยเตี๊ยว



-ราดหน้า



-สุกี้



-ผัดไท





ของที่ชอบ



-โทรศัพท์มือถือ



-คอมพิวเตอร์





สีที่ชอบ



-สีฟ้า



-สีส้ม



-สีชมพู





กีฬาที่ชอบ



-แบดมินตัน



-วอลเลย์บอล



สัตว์ที่ชอบ



-สุขัข



-แมว



-กระต่าย



-กระรอก

เพลงที่ชอบ

-คนธรรมดา

-ให้ฉันดูแลเธอ

-โปรดอย่ามาสงสาร

-ใครสักคน

-พระจันทร์ยิ้ม